
ภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งผู้บริหาร (Executive Order) ตรวจสอบการการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับ 16 ประเทศคู่ค้า รวมถึงไทย ที่อาจเกิดจากความไม่เป็นธรรมทางการค้า และได้ก่อให้เกิดความวิตกกังวลต่อไทย จนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการประชุมหารือ และเตรียมมาตรการรับมือกันมาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ได้มีการประเมินผลกระทบในเบื้องต้น หากรัฐบาลสหรัฐฯใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า หรือดำเนินการกับทั้ง 16 ประเทศ เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า โดยคาดว่า สินค้าส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ ที่จะได้รับผลกระทบ คือ อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์
สาเหตุที่สินค้าในกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไทยส่งออกสินค้าดังกล่าวไปจีนเป็นจำนวนมากในแต่ละปี โดยจีนจะนำไปผลิตเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ ประกอบกับ นักวิเคราะห์ในสหรัฐฯ ก็มองว่า คำสั่งประธานาธิบดี มีเป้าหมายจัดการกับจีน เพราะสหรัฐฯ ขาดดุลการค้าจีนมากเป็นอันดับ 1 ถึงกว่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อีกทั้ง สหรัฐฯ ยังมอว่า จีนใช้นโยบายแทรกแซงค่าเงินหยวนให้อ่อนค่า เพื่อหวังผลประโยชน์จากการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงจีนยังทุ่มตลาดสินค้าต่างๆ ในสหรัฐฯ (ขายสินค้าในสหรัฐฯ ราคาต่ำกว่าที่ขายในจีน) จนกระทบต่อภาคการผลิตของสหรัฐฯ
ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมา สหรัฐฯ จึงตรวจสอบสินค้าหลักๆ ที่จีนส่งออกไปสหรัฐฯ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง เหล็ก อะลูมิเนียม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น และพบว่า มีการทุ่มตลาดในสหรัฐฯ และรัฐบาลจีนยังใช้มาตรการอุดหนุนการส่งออก จึงทำให้ตั้งราคาขายต่ำได้ และบุกเจาะตลาดสหรัฐฯได้ดี รวมถึงทำให้ผู้ผลิตสินค้าในสหรัฐฯ เสียหายจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
จากเหตุผลดังกล่าว การที่ไทยส่งออกยางพารา ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นวัตถุดิบ และสินค้าขั้นกลางให้จีนผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปส่งออกไปสหรัฐฯ จะทำให้การส่งออกของไทยได้รับผลกระทบตามไปด้วย หากสหรัฐฯ ใช้มาตรการกีดกันการนำเข้าจากจีน
นอกจากนี้ ยังพบว่า มีสินค้าอื่นๆ ของไทย ที่อาจได้รับผลกระทบอีก ได้แก่ อุตสาหกรรมประมง เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง อาหารทะเลกระป๋อง สด และแปรรูป เป็นต้น ที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ปีละหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพราะไทยไม่มีมาตรฐานด้านแรงงานตามที่สหรัฐฯ กำหนด และใช้แรงงานผิดกฎหมาย แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ จนส่งผลให้สหรัฐฯ จัดให้ไทยอยู่ในกลุ่ม 2 แบบจับตามอง (Tier 2 Watch List) ตามรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ
ไม่เพียงแค่นั้น ผลจากการที่สหรัฐฯ จัดให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษด้านทรัพย์สินทาปัญญา (PWL) ต่อเนื่องเกือบ 10 ปี และในปีนี้ สหรัฐฯ จะประกาศการทบทวนสถานะเดือนเม.ย.นี้ ไทยก็อาจจะได้รับผลกระทบ คือ ถูกสหรัฐฯ จัดให้อยู่ในบัญชี PWL เหมือนเดิม แทนที่สถานะจะดีขึ้นมาอยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามอง (WL) เพราะไทยมีวิวัฒนาการในการปกป้องและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน สินค้าไทยอีกหลายรายการ อาจได้รับผลกระทบจากการถูกสหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) โดยเฉพาะสินค้าที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้า ที่จะหมดอายุลงวันที่ 31 ธ.ค.2560 เช่น กลุ่มอาหาร และเครื่องเดินทาง ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่ได้รับพิจารณาต่ออายุได้ทัน ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2561
ส่วนคำสั่งที่สั่งการให้ศุลกากรสหรัฐฯ พิจารณาหากลยุทธ์และเครื่องมือทางกฎหมายเพื่อเรียกเก็บเงินภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ที่ประเทศคู่ค้ายังค้างชำระอยู่ และเสนอให้ผู้นำเข้ารายใหม่หรือผู้ที่เคยละเมิดทางการค้ากับสหรัฐฯ ต้องวางเงินมัดจำสินค้าก่อนที่สินค้าจะเดินทางมาถึงท่าเรือปลายทางในสหรัฐฯ นั้น หากสหรัฐฯ ใช้มาตรการนี้เมื่อไร ผู้ส่งออกสินค้าไทยจำนวนมากจะได้รับผลกระทบ เพราะต้องนำเงินมาวางมัดจำก่อนสินค้าถึงท่าเรือ (อ่านข่าว โดนแล้ว! สินค้าไทยเสี่ยงเพียบ จ่อถูกสหรัฐฯ เล่นงาน “พาณิชย์”แนะผู้ส่งออกตรวจคุณสมบัติผู้นำเข้าสหรัฐฯ ด่วน ก่อนเละ https://www.commercenewsagency.com/news/127)
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งหารือกับผู้ประกอบการในกลุ่มต่างๆ เพื่อเตรียมแผนรับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น แม้ว่าไทยจะไม่ใช่เป้าหมายหลักของการตรวจสอบการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ แต่เป็นการดำเนินการเพื่อความไม่ประมาท และเตรียมความพร้อมกับทุกสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง