​ที่สุด “พาณิชย์”รอบปี 2564

img

กลับมาพบกันอีกครั้งสำหรับที่สุด “พาณิชย์” ในรอบปี 2564 ที่ผ่านมา โดยตลอดทั้งปีมีข่าวสารเกิดขึ้นมากมายในกระทรวงพาณิชย์ ทั้งข่าวดี ข่าวร้าย ข่าวเด่น ข่าวดัง ข่าวสีสัน สนุก ตื่นเต้น เรียกว่ามีครบทุกรส แต่มีข่าวสารที่สำนักข่าว “CNA Online” เห็นว่า “เป็นที่สุดแห่งปี” และขอนำมาสรุปไว้ในที่นี้ ส่วนจะมีเรื่องอะไรบ้าง ไปติดตามกันได้เลย 
 
“ประกันรายได้”เกษตรกรชอบที่สุด


         
ต้นปี 2564 เป็นช่วงรอยต่อการดำเนินโครงการประกันรายได้ ปี 2 ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องมาจากปี 2563 โดยโครงการปี 2 นี้ ยังคงได้รับการชื่นชมจากเกษตรกรเป็นอย่างมากเหมือนเดิม เพราะช่วงที่ราคาต่ำกว่าการประกันรายได้ ก็จะมีส่วนต่างชดเชยให้
         
แต่ในการดำเนินโครงการ ใช่ว่าจะจ่ายส่วนต่างให้เกษตรกรเพียงอย่างเดียว แต่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินมาตรการผลักดันราคาให้สูงขึ้นต่อเนื่อง จนช่วงท้าย ๆ โครงการ สินค้าหลายตัวไม่ต้องจ่ายชดเชย โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ยางพารา บางชนิด และข้าวบางชนิด ซึ่งเกษตรกรต่างพึงพอใจ เพราะขายผลผลิตได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย
         
โดยโครงการประกันรายได้ปัจจุบัน มีเกษตรกรได้ประโยชน์ร่วมทั้งสิ้น 7.92 ล้านครัวเรือน แยกเป็น ข้าว 4.69 ล้านครัวเรือน ยางพารา 1.88 ล้านครัวเรือน มันสำปะหลัง 5.2 แสนครัวเรือน ปาล์มน้ำมัน 3.8 แสนครัวเรือน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4.5 แสนครัวเรือน         
         
ในช่วงกลางปี 2564 ยังไม่ทันที่โครงการปี 2 จะจบ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินหน้าผลักดันโครงการประกันรายได้ ปี 3 ทั้งเร่งประชุมคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ก่อนทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติโครงการ จนก่อนสิ้นปี ครม. ได้อนุมัติเดินหน้าโครงการประกันรายได้ปี 3 แล้ว 4 สินค้า คือ ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และยางพารา เหลือก็แต่ปาล์มน้ำมัน ที่ยังไม่ต้องรีบ เพราะราคายังคงทะลุเพดานประกันสูงมาก  
         
เมื่อ ครม.อนุมัติโครงการ ก็เริ่มเดินหน้าจ่ายส่วนต่างทันที โดยช่วงแรก ข้าวมีปัญหาติดขัดเล็กน้อย เพราะวงเงินที่ ครม. อนุมัติให้ตอนแรก จ่ายได้เพียงงวดที่ 1-2 และงวดที่ 3 บางส่วน เงินก็หมด จึงต้องขอวงเงินใหม่ แต่ก็ติดปัญหาเพดานวินัยการคลัง เลยต้องเสนอ ครม. เพื่อขยายเพดานก่อหนี้ก่อน เมื่อ ครม.ขยายเพดานก่อหนี้แล้ว จึงได้อนุมัติวงเงินก้อนใหม่อีก 7.6 หมื่นล้านบาท ทำให้มีวงเงินเพียงพอจ่ายส่วนต่างทั้ง 33 งวด และปัจจุบัน จ่ายแล้วถึงงวดที่ 12
         
ส่วนยางพารา การจ่ายส่วนต่าง ไม่มีปัญหา ขณะที่ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ไม่ต้องจ่ายส่วนต่าง เพราะราคาสูงกว่าราคาที่ประกันรายได้เอาไว้
         
ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการของรัฐบาล ที่เกษตรกรชื่นชอบมากที่สุด
 
“ส่งออก”ปี 2564 ทำลายสถิติมากที่สุด


         
การส่งออกของไทย กลับมาเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เมื่อย่างเข้าสู่ปี 2564 หลังจากที่ขยายตัวติดลบมาตั้งแต่ปี 2562 ต่อเนื่องถึงปี 2563 โดยการส่งออกม.ค.2564 ประเดิมเดือนแรกของปี ขยายตัวที่ 0.35% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการมีวัคซีนโควิด-19 แต่ก็ดีใจได้ไม่ถึงเดือน การส่งออกก.พ.2564 พลิกกลับมาติดลบที่ 2.59% แต่หลายสินค้า หลายตลาด เริ่มเห็นทิศทางการฟื้นตัว
         
จากนั้นเดือนมี.ค.2564 การส่งออกทำมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 24,222.45 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.47% เติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจคู่ค้า พอมาเดือนเม.ย.2564 ก็ยังขยายตัวเป็นบวก 13.09% สูงสุดในรอบ 36 เดือน และยอดรวม 4 เดือน กลับมาบวก 4.78% ขยายตัวเกินเป้าที่ตั้งไว้ที่ 4% เป็นครั้งแรก เดือนพ.ค.2564 ขยายตัวสูงมากที่ 41.59% สูงสุดในรอบ 11 ปี ยอดรวม 5 เดือน บวก 10.78%
         
เดือนมิ.ย.2564 ทำนิวไฮอีกครั้ง โต 43.82% สูงสุดในรอบ 11 ปี และยอดรวม 6 เดือน บวก 15.53% เดือนก.ค.2564 ก็ยังเป็นบวก โดยชะลอตัวลงมาเหลือ 20.27% รวม 7 เดือน บวก 16.20% เริ่มมีการพูดถึงอัตราการขยายตัวที่เกินไปจากเป้าแล้วถึง 4 เท่าตัว เดือนส.ค.2564 บวก 8.93% รวม 8 เดือน บวก 15.25% เดือนก.ย.2564 บวก 17.1% รวม 9 เดือน บวก 15.5% เดือนต.ค.2564 บวก 17.4% รวม 10 เดือน บวก 15.7% เดือนพ.ย.2564 บวก 24.7% เป็นบวกต่อเนื่อง 9 เดือนติดต่อกัน และยอดรวม 11 เดือน บวก 16.4%

ส่วนตัวเลขเดือนธ.ค.2564 ยังไม่ออก แต่คาดว่าจะยังคงขยายตัวเป็นบวก และประเมินว่า ตัวเลขทั้งปี น่าจะขยายตัวในระดับ 16% เกินกว่าเป้า 4 เท่า

การส่งออกในปี 2564 ถือเป็นการส่งออกที่ทำสถิติหลายอย่าง ทั้งมูลค่าส่งออกสูงสุด อัตราการขยายตัวรายเดือนสูงสุด และอัตราการขยายตัวรายปีเกินกว่าเป้ามากที่สุด
 
“พาณิชย์ลดราคา!” เซฟค่าครองชีพมากที่สุด


         
ในปี 2564 กระทรวงพาณิชย์ได้จัดโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน” อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเริ่มปี 2564 ได้จัดโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน” ผ่าน Platform ในเดือนก.พ.2564 ถือเป็นโครงการแรกของปี 2564 และเป็น Lot ที่ 9 หลังจากจัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 รวม 8 Lot โดย Lot ที่ 9 นี้ เป็นการลดราคาผ่าน 11 แพลตฟอร์ม มีร้านค้าเข้าร่วมกว่า 1 แสนร้าน สินค้ามากกว่า 1 ล้านรายการ
         
ต่อมาจัด Lot 10 รถโมบายพาณิชย์ ลดราคา! ช่วยประชาชน เดือนพ.ค.2564 โดยส่งรถโมบายกว่า 730 คัน นำสินค้าจำเป็นราคาถูกไปจำหน่าย เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช น้ำตาลทราย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมาณมณฑลช่วงโควิด-19
         
Lot 11 จัดพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน (Food Delivery) เดือนมิ.ย.2564 ลดค่าอาหารสูงสุด 60% ลดค่าส่งเหลือ 0 บาท ลดค่า GP ให้ร้านอาหารเหลือ 25%
         
Lot 12 จัดพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน (Online) เดือนก.ค.2564 เป็นการลดราคาสินค้าและบริการรวม 6 กลุ่ม ได้แก่ การขายผ่านแพลตฟอร์ม , บริการจัดส่งสินค้า , ฟาสต์ฟู้ด , บริการอินเทอร์เน็ต , อุปกรณ์และสื่อการเรียนอิเล็กทรอนิกส์ และลดราคาสินค้าในห้างและร้านสะดวกซื้อ
         
Lot 13 Mobile พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน (สินค้าผัก) จัดในเดือนพ.ย.2564 นำผักราคาถูกจำหน่ายให้ประชาชนพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ช่วงผักแพง พร้อมด้วยสินค้าจำเป็น เช่น ไข่ไก่ น้ำมันพืช ข้าวสารหอมมะลิ และน้ำตาลทราย
         
Lot 14 พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน หมูเนื้อแดง จัดช่วงปลายเดือนพ.ย.-31 ธ.ค.2564 เพื่อจำหน่ายหมูเนื้อแดงราคาถูกกิโลกรัมละ 130 บาท 667 จุดทั่วประเทศ ช่วยบรรเทาผลกระทบจากเนื้อหมูราคาแพง  
         
Lot 15 พาณิชย์ลดราคา ช่วยประชาชน (พาณิชย์จานด่วน..ราคาถูก!) จัดขึ้นเดือนพ.ย.-ธ.ค.2564 โดยร่วมมือกับตลาดสด ตลาดกลาง ห้างโมเดิร์นเทรด และร้านสะดวกซื้อ จำหน่ายอาหารจานด่วนราคาถูก โดยในตลาดสดและตลาดกลางจานละ 30-35 บาท ห้างโมเดิร์นเทรดจานละ 35-40 บาท มีจุดจำหน่ายทั่วประเทศกว่า 16,518 จุด
         
Lot 16 ปิดท้ายปี จัดพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน New Year Grand Sale 2022 ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุด โดยร่วมมือกับผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ห้าง โรงแรม โรงพยาบาล ศูนย์บริการรถยนต์ ธนาคาร ปั๊ม โรงหนัง ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต แพลตฟอร์มออนไลน์ ลดราคาสินค้าและบริการสูงสุด 86% ตั้งแต่ 15 ธ.ค.2564-31 ม.ค.2565 ลดสินค้ากว่า 26,000 รายการ บริการกว่า 500 รายการ แพลตฟอร์มและโลจิสติกส์กว่า 11 ล้านรายการ
         
จัดหนัก จัดเต็มลดค่าครองชีพ ตลอดทั้งปี
 
หลายสินค้าราคาแพงที่สุด


         
แม้กระทรวงพาณิชย์จะได้จัดทำโครงการพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2564 แต่ก็มีหลายสินค้าที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น จนกระทบต่อค่าครองชีพของผู้บริโภค
         
เริ่มจากน้ำมันพืช ที่ราคาเริ่มขยับสูงขึ้น ตามการสูงขึ้นของราคาผลปาล์ม ที่บางช่วงราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 9 บาท ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบสูงขึ้นตาม และส่งผลต่อเนื่องถึงราคาน้ำมันปาล์มชวด ที่เริ่มขยับขึ้นจากขวดลิตรละ 44 บาท เป็น 54-55 บาทในบางช่วง และในพื้นที่ห่างไกล ที่การขนส่งไม่สะดวก ราคาขยับไปถึงขวดลิตรละ 57-58 บาทก็มี และปัจจุบัน ราคาก็ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง
         
ปุ๋ยเคมี เป็นอีกตัวที่ราคาสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แม้กระทรวงพาณิชย์จะเข้ามาช่วยเหลือด้วยการจัดโครงการพาณิชย์ลดราคา! ปุ๋ยช่วยเกษตรกร ลดราคาปุ๋ย 20-50 บาทต่อกระสอบ จำนวน 84 สูตร ปริมาณรวม 4.5 ล้านกระสอบ ซึ่งได้ช่วยบรรเทาผลกระทบให้เกษตรกร แต่ในภาพรวม ราคาก็ยังสูงอยู่
         
ผักสด ราคาเริ่มปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่พื้นที่เพาะปลูกหลายพื้นที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ผักหลายชนิดทำราคาสูง เช่น ผักชี ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้แก้ไขปัญหาด้วยการจัดส่งรถโมบาย นำผักสดราคาส่ง ตะเวนขายคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อบรรเทาผลกระทบ แต่โชคดีที่ไม่นาน ราคาผักก็ปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ หลังน้ำลด พื้นที่เพาะปลูก กลับมาเป็นปกติ
         
ล่าสุดส่งท้ายปี ราคาหมูเนื้อแดงขยับขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 200 บาท และบางพื้นที่ทะลุ 200 บาท เพราะมีปัญหาหมูขุนเข้าสู่ตลาดลดลง และต้นทุนการเลี้ยงเพิ่มสูงขึ้นจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ จนกระทบต่ออาหารปรุงสำเร็จ ที่เริ่มมีการปรับขึ้นราคาตาม ซึ่งกระทรวงพาณิชย์กำลังอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหา และได้พิจารณาต่อโครงการพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน (หมูเนื้อแดง) ออกไปอีก
         
พูดได้ว่า ปี 2564 มีสินค้าหลายตัว ที่ทำสถิติราคาสูงที่สุดในรอบปีและหลาย ๆ ปี กันเลยทีเดียว  
         
RCEP บังคับใช้ ที่สุดแห่งโอกาสของไทย


         
หลังจากที่ประเทศสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) 15 ประเทศได้ลงนามความตกลงในช่วงปลายปี 2563 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม จากนั้นในปี 2564 เป็นปีแห่งการดำเนินการภายใน และการยื่นให้สัตยาบันของประเทศสมาชิก เพื่อให้ความตกลงมีผลบังคับใช้ จนในที่สุด ก็มีสมาชิกยื่นให้สัตยาบันครบตามเงื่อนไข ทำให้ RCEP จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2565 เป็นต้นไป
         
ในช่วงรอการบังคับใช้ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ดำเนินการชำแหละผลประโยชน์ของไทยภายใต้ RCEP อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี และยังชี้เป้าการใช้ประโยชน์ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยเตรียมตัว เตรียมความพร้อม ที่จะใช้ประโยชน์ได้ทันที เมื่อความตกลงบังคับใช้
         
โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับไทยภายใต้ RCEP ในด้านการค้าสินค้า จะมีการยกเลิกภาษีนำเข้าที่เก็บกับสินค้าไทย 39,366 รายการ และจะลดเหลือ 0% ทันที 29,891 รายการ และในนี้ จะเพิ่มโอกาสส่งออกให้กับผลไม้สดและแปรรูป ประมง น้ำผลไม้ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และส่วนประกอบ พลาสติก เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ รวมทั้งจะลดความซ้ำซ้อนเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้า สามารถเลือกนำเข้าวัตถุดิบที่หลากหลายจากประเทศสมาชิก
         
ขณะเดียวกัน ได้ปรับพิธีการศุลกากรให้รวดเร็ว โดยจะตรวจปล่อยสินค้าภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือภายใน 48 ชั่วโมงสำหรับสินค้าทั่วไป และภายใน 6 ชั่วโมงสำหรับสินค้าเร่งด่วน และหากมีการออกมาตรฐานสินค้าใหม่ ๆ ผู้ส่งออกมีโอกาสรับทราบมาตรการ และมีโอกาสให้ข้อคิดเห็น สามารถใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมภายใน หากได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากสินค้าที่เปิดตลาดภายใต้ RCEP
         
นอกจากนี้ ยังสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนในภาคี RCEP เช่น ก่อสร้าง ค้าปลีก สุขภาพ ภาพยนตร์และบันเทิง มีการลดหรือยกเลิกกฎระเบียบและมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนทั้งภาคบริการและที่ไม่ใช่บริการ และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดการลงทุนในสาขาที่ไทยมีความต้องการ เช่น วิจัยและพัฒนา บริการปกป้องสิ่งแวดล้อม การศึกษา ซ่อมบำรุงชิ้นส่วนอากาศยาน เรือขนาดใหญ่ อุปกรณ์ขนส่งทางราง การผลิตหุ่นยนต์สำหรับอุตสาหกรรม
         
ส่วนประโยชน์ด้านอื่น ๆ จะมีการอำนวยความสะดวกการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา เช่น เครื่องหมายการค้า และการคุ้มครองและบังคับใช้สิทธิ์ด้านทรัพย์สินทางปัญญา การส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยจะมีกฎหมายและกฎระเบียบในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค และการเสริมสร้างความร่วมมือให้ SMEs โดยจะมีกฎระเบียบทางการค้าที่สะดวกและโปร่งใส มีการปรับปรุงการเข้าถึงตลาดและการเข้าสู่ระบบห่วงโซ่มูลค่าโลก
         
เป็นที่สุดแห่งโอกาสของผู้ประกอบการไทยจริง ๆ
 
ข้าวหอมมะลิไทยแชมป์โลกมากที่สุด


         
ก่อนสิ้นปี 2564 มีข่าวดีเกิดขึ้นชิ้นหนึ่ง ก็คือ ข้าวหอมมะลิไทย คว้าแชมป์การประกวดข้าวโลกประจำปี 2564 หรือ World’s Best Rice Award 2021 ที่จัดขึ้นที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยไทยสามารถป้องกันแชมป์ข้าวดีที่สุดในโลก ได้ 2 ปีติดต่อกัน หลังจากที่เคยเป็นแชมป์มาแล้วในปี 2563 โดยเอาชนะคู่แข่งที่ส่งข้าวเข้าประกวดอีก 5 ประเทศ คือ สหรัฐฯ จีน อินเดีย เวียดนาม และเมียนมา และข้าวที่ชนะจนเป็นแชมป์ ก็คือ ข้าวหอมมะลิ 105 ที่ปลูกในภาคอีสาน ส่งประกวดโดยสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
         
ทั้งนี้ การประกวดข้าวโลก ได้จัดมาแล้ว 13 ครั้ง เริ่มครั้งแรกเมื่อปี 2552 โดยข้าวหอมมะลิไทย ประเดิมคว้าแชมป์เป็นประเทศแรกในโลก ต่อมาเป็นแชมป์ได้อีก 6 ครั้ง คือปี 2553 , 2557 , 2559 , 2560 , 2563 และ 2564 รวมเบ็ดเสร็จไทยเป็นแชมป์ทั้งหมด 7 ครั้ง (แชมป์เดี่ยว 6 ครั้ง แชมป์ร่วม 1 ครั้ง) ที่เหลือเป็นกัมพูชา แชมป์ 4 ครั้ง (แชมป์เดี่ยว 2 ครั้ง แชมป์ร่วม 2 ครั้ง) สหรัฐฯ 2 ครั้ง (แชมป์เดี่ยว 1 ครั้ง แชมป์ร่วม 1 ครั้ง) ส่วนเมียนมาและเวียดนาม แชมป์เดี่ยวประเทศละ 1 ครั้ง
         
ข้าวไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกจริง ๆ เพราะแข่งมา 13 ครั้ง ได้แชมป์ 7 ครั้ง ถือว่า มากที่สุด
 
ในที่สุดก็ขึ้นทะเบียน GI ครบทุกจังหวัด


         
กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดนโยบายในการผลักดันการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ให้ได้ครบทุกจังหวัด มาตั้งแต่ปี 2563 แต่เป้าหมาย “1 จังหวัด 1 สินค้า GI” เพิ่งมาทำสำเร็จเอาช่วงกลางปี 2564 หลังจากที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ประกาศขึ้นทะเบียน GI สินค้ากลองเอกราช จ.อ่างทอง เป็นสินค้า GI จังหวัดสุดท้ายของประเทศ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2564
         
ทำให้ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสินค้าที่ขึ้นทะเบียน GI แล้ว 152 รายการ มีมูลค่าที่เกิดขึ้นในประเทศประมาณ 36,000-40,000 ล้านบาท และยังมีรายได้จากต่างประเทศ ที่มีการส่งออกสินค้า GI ไปจำหน่ายอีกกว่า 500 ล้านบาท และกำลังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากสินค้า GI ไทยเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
         
แม้ไทยจะมีสินค้า GI ครบทุกจังหวัดแล้ว แต่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบนโยบายไม่ใช่แค่เพิ่มจำนวนสินค้า แต่ต้องคุมเข้มคุณภาพและมาตรฐานให้ดีด้วย เพราะสินค้า GI เป็นสินค้าที่มีความแตกต่าง มีความดี เด่น ดัง ในตัวอยู่แล้ว จะต้องเข้มงวดเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน เพื่อรักษาชื่อเสียง และทำให้เป็นสินค้าพรีเมียม เพื่อช่วยให้ชุมชน มีรายได้เพิ่มขึ้น และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
         
เป็นอีกหนึ่งผลงาน ที่ทำได้สำเร็จในปีนี้
 
หน่วยงานพาณิชย์คว้ารางวัลกันสุด ๆ


         
ปี 2564 เรียกได้ว่าเป็น “ปีทอง” ของกระทรวงพาณิชย์อีกปีเลยก็ว่าได้ เพราะปีนี้ “งานบริการประชาชนและภาคธุรกิจ” คว้ารางวัลกันเป็นว่าเล่น หลังจากที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” ได้ผลักดัน 85 งานบริการ ที่สามารถใช้บริการได้ทางออนไลน์มาตั้งแต่ต้นปี จนปัจจุบันเพิ่มเป็น 118 รายการ
         
ทำให้แม้จะเจอวิกฤตโควิด-19 แต่งานบริการประชาชนและภาคธุรกิจของกระทรวงพาณิชย์ ไม่ได้หยุดชะงักไปด้วย ยังคงสามารถให้บริการได้ตามปกติ และผลจาการปรับปรุงงานบริการ ทำให้หน่วยงานในสังกัดคว้ารางวัลกันเป็นว่าเล่น
         
โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้รับรางวัลบริการภาครัฐระดับดีเด่น จากการพัฒนาระบบ “จดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์” และระบบ “เชื่อมโยงข้อมูลขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (e-Foreign Certificate)” และยังได้รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี จากผลงาน “การเชื่อมโยงข้อมูลเริ่มต้นธุรกิจ”  
         
กรมการค้าภายใน ได้รับรางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี จากผลงาน “การขออนุญาตให้นำเครื่องชั่งตวงวัดออกจากด่านศุลกากรผ่านระบบออนไลน์”

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้รับรางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี จากผลงาน “เจรจาก้าวไกล ฝ่าภัยโควิด-19” และยังได้รางวัลบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม จากผลงาน “โครงการเพิ่มศักยภาพเกษตรกรในยุคการค้าเสรี”
        
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้รับรางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี จากผลงาน “ระบบรับแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์และใช้บริการข้อมูลลิขสิทธิ์”  
         
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี จากผลงาน “ช่องทางการค้ายุคใหม่แบบไร้ขีดจำกัด”  
         
กรมการค้าต่างประเทศ ได้รับรางวัลศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการโดดเด่นปี 2564 เป็น 1 ใน 6 หน่วยงานส่วนกลางที่ได้รับรางวัลในปีนี้ และเป็น 1 ใน 2 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ที่ได้รับรางวัล ที่สำคัญ ได้รางวัลศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการโดดเด่นติดต่อกัน 5 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2560-64
        
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ได้รับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ปี 2564 ได้คะแนนเฉลี่ย 92.69 คะแนน มีผลการประเมินระดับ A และในการประเมินตัวชี้วัดการพัฒนาองค์กรสู่ดิจิทัล  
         
แข่งคว้ารางวัลกันสุด ๆ    
 
จดทะเบียนนิติบุคคลเร็วจนโดนใจที่สุด   


         
หลังจากหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์แย่งกันคว้ารางวัลแล้ว มีผลงานการให้บริการประชาชนและภาคธุรกิจผลงานหนึ่ง ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ ซึ่งผลงานนั้น ก็คือ การจดทะเบียนนิติบุคคล ที่ทำได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว
         
ปัจจุบันการจดทะเบียนตั้งบริษัท ทำได้ง่ายมาก ใช้เวลาช้าที่สุด ก็แค่ 2.5 วัน เริ่มจากขั้นตอน ดังนี้ 1.การจองชื่อบริษัท 0.5 วัน 2.การชำระเงินทุนเข้าธนาคาร 1 วัน และ 3.การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ การขึ้นทะเบียนประกันสังคม และการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่สามารถดำเนินการได้ภายในขั้นตอนเดียว ใช้เวลา 1 วัน
         
แต่ทุกวันนี้ เร็วกว่า 2.5 วันอีก หลังจากที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้นำระบบ AI มาใช้ในการจองชื่อบริษัท ทำให้สามารถรู้ทันทีว่า ชื่อนี้ใช้ได้ไม่ได้ โดยจากเดิมต้องใช้เวลา 0.5 วัน แต่ตอนนี้เหลือแค่ไม่เกิน 2 นาท
         
ไม่เพียงแค่นั้น ยังได้มีการพัฒนาระบบจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นไปอีก ทั้งการยืนยันตัวตน แบบฟอร์มที่กรอกจดทะเบียน และยังเปิดโอกาสให้ผู้แทนจัดทำและยื่นคำขอจดทะเบียนแทนได้ เจ้าของบริษัทไม่ต้องมาทำเอง ที่สำคัญ ทุกขั้นตอนทำได้ผ่านออนไลน์ เมื่อจดทะเบียนเสร็จแล้ว ก็จะได้รับหนังสือรับรองนิติบุคคลในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ และรับใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ ก็สามารถนำหนังสือรับรองไปใช้งานได้ทันที
         
ทำให้ทำธุรกิจได้ไวขึ้น และจะไม่ให้โดนใจที่สุดได้ไง
 
ไล่ออกยกแก๊งทุจริตถุงมือยางที่ฉาวที่สุด


         
นับตั้งแต่กระทรวงพาณิชย์ทราบเรื่องการทุจริตจัดซื้อถุงมือยาง มูลค่า 112,500 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนก.ย.2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ย้ำตั้งแต่ทราบเรื่อง และมากำชับอีกครั้งเมื่อช่วงต้นปี 2564 ให้ดำเนินการเอาผิดทั้งอาญาและแพ่ง กับผู้ที่กระทำความผิด และตามเงิน 2,000 ล้านบาทที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) จ่ายเป็นค่ามัดจำให้กับบริษัท การ์เดียน โกลฟส์ จำกัด กลับคืนมาให้ได้
         
ในช่วงปี 2564 นอกจากให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการเอาผิดกับผู้กระทำความผิด กระทรวงพาณิชย์ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย และคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางละเมิด จนมีผลสอบออกมาแล้ว
         
ผลสอบวินัย สรุปมีเจ้าหน้าที่ 3 คนมีเอี่ยวกับการทุจริต ได้แก่ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการอคส. , นายเกียรติขจร แซ่ไต่ และนายมูรธาธร คำบุศย์ เจ้าหน้าที่บริหารระดับ 8 โดยบอร์ด อคส. ได้มีมติให้ไล่ออกทั้ง 3 ราย ส่วนความรับผิดทางละเมิด เบื้องต้นอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท ยังไม่รวมดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาสทางธุรกิจ ที่กำลังอยู่ในกระบวนการตามทวงคืน
         
แต่เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ ปัจจุบัน อคส.กำลังตามตรวจสอบว่า มีเจ้าหน้าที่ อคส. คนไหนอีก ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการทุจริต แว่ว ๆ มาว่า มีอีกหลายราย ที่จะโดน ให้รอติดตามได้เลย  
         
แม้จะเป็นเรื่องฉาวที่สุด แต่กระทรวงพาณิชย์เอาจริง จัดการคนผิดจริง ไม่มีละเว้น  
 
2 ปีซ้อนทีมงาน “มัลลิกา” ได้ใจสื่อมากที่สุด


         
ยังคงเส้นคงวา สำหรับทีมงานของนางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ทั้งส่งข่าว ส่งภาพ ส่งคลิป ให้กับสื่อมวลชน ชนิดที่ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีงานที่ไหน ไปทำงานอะไร พูดจบปุ๊บ อีกไม่กี่นาที ข่าวส่งถึงมือนักข่าวปั๊บ มีพาดหัว มีไกด์ประเด็นให้เสร็จสรรพ เรียกว่า นำไปใช้ได้เลย
         
แล้วไม่ใช่เพิ่งมาทำ แต่ทำมาต่อเนื่องตั้งแต่นายจุรินทร์ เข้ามาทำงาน ทำจนได้ใจสื่อไปแล้วเต็ม ๆ เมื่อปี 2563 กระทั่งปี 2564 ก็ยังได้ใจอีกครั้ง
         
สิ่งที่นางมัลลิกา และทีมงานทำ ได้ช่วยให้สื่อทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะปัจจุบัน สื่อหลายสำนักต้องปรับตัวจากการถูกดิสรัปชัน มีการลดคน แต่ไม่ลดงาน บางครั้งต้องเลือกที่จะไปงานใดงานหนึ่ง ไปทุกงานไม่ได้ เพราะคนไม่พอ
         
ยิ่งมาเจอสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ ตั้งแต่เม.ย.2564 ทำให้การทำงานยากขึ้น ทั้งต้องเว้นระยะห่าง งดการรวมกลุ่ม ก็ได้ทีมงานของนางมัลลิกา ที่คอยอำนวยความสะดวกให้ สื่อไม่ไปทำข่าว แต่ยังสามารถดูการถ่ายทอดสดการแถลงข่าวได้ โดยเฉพาะช่องทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ Aoodda” รวมถึงมีข่าวแจก ที่เป็นข่าวที่สดจริง ๆ จากปากรัฐมนตรี ทำให้ทำงานได้ง่ายขึ้น
         
ขอบคุณแทนสื่ออีกครั้ง     
 
ติดตามข่าวสาร “พาณิชย์” ง่ายที่สุด



ปิดท้ายด้วยช่องทางการติดตามข่าวสารของกระทรวงพาณิชย์ ที่จัดทำโดยทีมงาน CNA Online โดยสามารถติดตามได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
         
Line@ ติดตามได้ที่ http://line.me/ti/p/%40uld0329i
         
Twitter ติดตามได้ที่ https://twitter.com/CNAOnlineTwit
         
Facebook Fanpage ติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/commercenewsagency
         
Youtube ติดตามได้ที่ https://www.youtube.com/channel/UC20isyIVU69Oi2BHAk0pPDg
         
Instagram ติดตามได้ที่ https://www.instagram.com/cna2you/
         
เป็น 5 ช่องทางที่ติดตามข่าวสารกระทรวงพาณิชย์ ได้ง่ายสุด และเร็วที่สุด

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง