ที่สุด “พาณิชย์” รอบปี 2562

img

ในรอบปี 2562 ที่ผ่านมา มีข่าวสารเกิดขึ้นในกระทรวงพาณิชย์มากมาย ทั้งข่าวดี ข่าวร้าย ข่าวเด่น ข่าวดัง ข่าวสนุก ตื่นเต้น มีสีสัน เรียกได้ว่า ครบทุกรส แต่เรื่องที่สำนักข่าว “CNA Online” เห็นว่า “เป็นข่าวที่สุดแห่งปี” มีอยู่ไม่มากนัก และได้นำมาสรุปไว้ในที่นี้แล้ว แต่ปีนี้พิเศษหน่อย ตรงที่ว่า จะเริ่มคัดเลือกข่าวที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลชุดนี้เท่านั้น หรือข่าวที่เกิดขึ้นหลังจากแถลงนโยบายรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.2562 เป็นต้นไป ส่วนจะถูกใจ โดนใจหรือไม่ ไปอ่านกันได้เลย
 
 
โดนใจเกษตรกรมากที่สุด


          รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 25 ก.ค.2562 โดยหนึ่งในนโยบายสำคัญที่คนให้ความสนใจ ก็คือ โครงการประกันรายได้สินค้าเกษตร 5 ชนิด คือ ปาล์มน้ำมัน ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ถูกมองกันว่า “จะทำได้เร็ว จะทำได้จริง” ตามที่ประกาศไว้หรือไม่
          แต่ปรากฏว่า หลังจากแถลงนโยบายเสร็จ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทวงพาณิชย์ ได้ขับเคลื่อนนโยบายในทันที เริ่มผลักดันโครงการประกันรายได้ตั้งแต่เดือนส.ค.2562 นัดประชุมคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง จนผลักดันโครงการประกันรายได้ปาล์มน้ำมันและข้าวสำเร็จ และได้เริ่มจ่ายเงินส่วนต่างสำหรับปาล์มน้ำมันวันที่ 1 ต.ค.2562 และจะจ่ายต่อเนื่องอีก 8 งวด หรือทุก 45 วัน ส่วนข้าวจ่ายส่วนต่างงวดแรกวันที่ 15 ต.ค.2562 จากนั้นจะจ่ายต่อเนื่องตามระยะเวลาที่เกษตรกรแจ้งเก็บเกี่ยว จนสิ้นสุดโครงการวันที่ 31 ต.ค.2563   
          ต่อมาเดือนต.ค.2562 โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยางทำเสร็จ แต่โครงการนี้เป็นความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่ก็กำกับดูแลโดยนายจุรินทร์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และได้คิกออฟจ่ายเงินในวันที่ 1-15 พ.ย.2562
          จากนั้น ช่วงปลายเดือนต.ค.2562 ได้ผลักดันโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังสำเร็จ และเริ่มจ่ายเงินส่วนต่างงวดแรกวันที่ 1 ธ.ค.2562 ต่อด้วยโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ช่วงต้นเดือนพ.ย.2562 และจ่ายเงินงวดแรกวันที่ 20 ธ.ค.2562
          เป็นการปิดภารกิจโครงการประกันรายได้ครบทั้ง 5 ชนิดสินค้าเกษตรได้ภายในระยะเวลา 5 เดือน เรียกได้ว่า “ทำได้ไว ทำได้จริง” ตามที่ได้รับปากเอาไว้ เกษตรทั้งประเทศยิ้มกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในนโยบายที่โดนใจมากที่สุดเลยก็ว่าได้
 
 
ชาวบ้านชอบที่สุด



          ประเด็นเรื่องราคายาโรงพยาบาลเอกชนมีราคาแพง เป็นการดำเนินการต่อเนื่องมาจากรัฐบาล คสช. และพอมีรัฐบาลชุดใหม่ ก็มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า จะได้ไปต่อหรือไม่ แต่ก็ได้ไฟเขียวจากนายจุรินทร์ให้ลุยต่อ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชน
          จากนั้น กรมการค้าภายในในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล ก็เร่งเดินหน้า และในที่สุด ก็สามารถจัดทำประกาศรายชื่อราคายาให้สามารถตรวจสอบได้ผ่านคิวอาร์โค้ด ทั้งที่ติดไว้ที่โรงพยาบาลเอกชน และตรวจสอบได้ผ่านเว็บไซต์ www.dit.go.th ทำให้ประชาชนรู้ราคายาล่วงหน้า และสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจว่าควรจะเข้าไปรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนรายใด โดยสามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่เดือนส.ค.2562 ที่ผ่านมา  
          ไม่เพียงแค่นั้น ยังได้เดินหน้า จัดทำรหัสของเวชภัณฑ์และค่าบริการทางการแพทย์แต่ละรายการ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ และจะได้เข้าไปกำกับดูแล เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ
          และล่าสุด ปิดท้ายปี กระทรวงพาณิชย์ได้มอบเกียรติบัตร “โรงพยาบาลคุณธรรม” ให้กับโรงพยาบาลเอกชน 166 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งโรงพยาบาลเหล่านี้คิดค่ายาเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบประชาชน เพื่อให้เป็นทางเลือกในการเข้าไปใช้บริการ
          ถือเป็นหนึ่งในนโยบายที่โดนใจประชาชน และประชาชนชอบใจมากที่สุดเลยทีเดียว
 

ประสบความสำเร็จที่สุด



          ในปี 2562 ไทยได้รับบทเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาเซียน และการประชุมอี่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เรียกได้ว่าประชุมกันเกือบทั้งปี ทั้งงานเล็ก งานใหญ่ แต่ที่น่าจับตา ก็คือ การประชุมสุดยอดผู้นำในช่วงต้นเดือนพ.ย.2562 ที่มีการจับตากันว่า การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ที่กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบ จะสำเร็จหรือไม่ และสำเร็จยังไง
          โดยในที่สุด สมาชิก 15 ประเทศ ก็สามารถประกาศความสำเร็จสามารถปิดการเจรจาความตกลงอาร์เซ็ปทั้ง 20 บาทและการเจรจาเปิดตลาดในส่วนที่สำคัญได้ทุกประเด็น ยกเว้นอินเดียประเทศเดียว ที่ยังมีข้อติดขัด และได้มอบให้คณะเจรจาไปขัดเกลาถ้อยคำทางกฎหมาย เพื่อที่จะลงนามกันในปี 2563 และในส่วนของอินเดีย ก็ให้ไปหาทางออกในประเด็นคงค้างให้จบ และดึงเข้าร่วมวงอาร์เซ็ปต่อไป  
          ส่วนการประชุมอาเซียน ภาพรวมด้านเศรษฐกิจที่กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบ ก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน โดยสามารถผลักดันประเด็นด้านเศรษฐกิจทั้ง 13 ประเด็น ได้แก่ แผนงานด้านดิจิทัล , แผนงานนวัตกรรม , การพัฒนาแรงงานรองรับ 4IR , การเดินหน้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 , การนำ SMEs สู่เศรษฐกิจดิจิทัล , การผลักดัน ASEAN Single Window , การผลักดันใช้เงินสกุลท้องถิ่น , การเปิดโอกาสให้เอกชนมีส่วนร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน , การร่วมมือส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร , การผลักดันการเจรจาอาร์เซ็ป , การผลักดันเครือข่ายประมง IUU , การส่งเสริมตลาดทุนอาเซียน และการผลักดันศูนย์พลังงานอาเซียน ให้สำเร็จลงได้เกือบทั้งหมด เหลือแค่บางประเด็นที่ยังติดขัดอีกเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
          นอกจากนี้ ยังได้รับรองแผนงานด้านดิจิทัลของอาเซียน การลงนามพิธีสารกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียน ซึ่งจะทำให้กลไกระงับข้อพิพาทในอาเซียนทำได้ดีขึ้น
          เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในฐานะการเป็นประธานอาเซียนของไทยในปี 2562
         

คนทำธุรกิจชอบที่สุด

          ความง่ายในการทำธุรกิจ ถือเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องการ ซึ่งในรอบปี 2562 ที่ผ่านมา กรมพัฒนาธุรกิจการค้าก็ไม่ทำให้ผิดหวัง โดยได้ปรับระบบการจดทะเบียนเริ่มธุรกิจให้สั้นและเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง
          จนก่อนสิ้นปี ได้แจ้งข่าวดีออกสู่สาธารณชนว่า ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นไป จะเปิดให้บริการจดทะเบียนธุรกิจที่เรียกได้ว่า รวดเร็ว ง่าย และมีขั้นตอนสั้นลง โดยจะรวม 3 ขั้นตอน ได้แก่ การจดทะเบียนธุรกิจ การขึ้นทะเบียนนายจ้างลูกจ้าง และการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไว้ในขั้นตอนเดียว ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจสามารถจดได้ทั้งหมดตั้งแต่การยื่นจดทะเบียนที่หน่วยให้บริการของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศได้เลย เรียกว่า จดทะเบียนธุรกิจแบบ “ทรีอินวัน” จด 1 ได้ถึง 3
          ไม่เพียงแค่นั้น ยังได้นำระบบเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยนายทะเบียนพิจารณาการจองชื่อนิติบุคคล ซึ่งจะลดเวลาเหลือเพียง 2 นาที จากเดิม 20 นาที ถึงจะทราบผล ก็จะยิ่งทำให้การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ทำได้เร็วขึ้นไปอีก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำโครงการและศึกษาแนวทางการพัฒนา คาดว่าจะสามารถให้บริการได้ภายในปี 2563
          ลองไปดูกัน เดิมการเริ่มธุรกิจจะมี 5 ขั้นตอน ใช้เวลา 4.5 วัน ได้แก่ 1.การจองชื่อบริษัท 0.5 วัน 2.การชำระเงินทุนเข้าธนาคาร 1 วัน 3.การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท 1 วัน 4.การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 1 วัน และ 5.การขึ้นทะเบียนนายจ้าง-ลูกจ้าง 1 วัน แต่จะมีการรวมขั้นตอน 3 4 และ 5 เข้าด้วยกัน ก็จะเหลือเพียงแค่ 1 วัน ทำให้ช่วยร่นระยะเวลาในการเริ่มต้นธุรกิจภาพรวมเหลือเพียง 2.5 วัน
ผู้ประกอบการ คนทำธุรกิจชอบใจสุดๆ ไปเลย


ฮือฮาที่สุด

          ข่าวฮือฮาที่สุด และได้รับการพูดถึงและแชร์กันในโลกออนไลน์มากที่สุดแห่งปีของกระทรวงพาณิชย์ข่าวหนึ่ง ก็คือ “ทองโคลนนิ่ง”
          ที่มาที่ไปของข่าวนี้ ก็คือ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “จีไอที” ได้แจ้งข่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ปัจจุบันนี้ การตรวจสอบทองคำ ไม่ใช่ตรวจกันได้ง่ายๆ เพราะมีการนำทองเหลืองใส่ไว้ด้านใน แล้วนำมาชุบกับทองคำแท้ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน หรือนำทองคำแท้มาหุ้มแร่ที่มีน้ำหนักเท่ากับทองคำ เช่น แร่ทังสเตน ซึ่งส่วนใหญ่จะเจอกับทองคำแท่ง ทำให้ตรวจสอบด้วยการตะไบ ก็จะเห็นว่าเป็นทองคำจริง หรือตรวจสอบด้วยระบบเลเซอร์ ก็ไม่สามารถยิงทะลุเนื้อทองคำไปจนเห็นวัสดุแปลกปลอมด้านในได้
          ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีการนำทองคำไปชุบกับพระพุทธรูปบูชา แล้วนำออกขายว่าเป็นทองคำแท้ทั้งองค์ หรือพบบางร้านนำทองโคลนนิ่ง ที่ทำการชุบทอง แล้วนำไปขายแบบถูกๆ ผ่านทางออนไลน์ ทำให้มีลูกค้าหลงเชื่อเข้าไปซื้อกันเป็นจำนวนมาก และได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน
          ก่อนปิดท้าย หากต้องการซื้อทองคำ ต้องซื้อจากร้านที่ได้รับการรับรองซื้อด้วยความมั่นใจ (BWC) หรือซื้อสินค้าจากร้านที่มีตราสัญลักษณ์การรับรองมาตรฐาน หรือ Hallmark ถ้าไม่มีก็ให้สงสัยไว้ก่อน หรือให้สังเกตหากเป็นทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ ถ้าใหญ่ผิดปกติ หรือน้ำหนักผิดปกติ หรือราคาถูกกว่าปกติ ก็ให้สงสัยไว้ก่อน แต่ถ้าต้องการตรวจสอบเป็นทองจริง ทองแท้หรือไม่ ต้องตรวจสอบด้วยคลื่นอัลตร้าโซนิก ที่ตรวจได้ถึงวัสดุด้านใน ตรวจได้ 100%
          ข่าวนี้ ทำเอาคนมีทอง มีสมบัติเก่าแก่ที่เป็นทอง ถึงขั้นสะดุ้ง  

 
แพงที่สุด



          ข่าวที่เรียกเสียงฮือฮาอีกข่าวหนึ่งในรอบปี ก็คือ ราคาข้าวเหนียวแพง เพราะเรียกได้ว่า ไม่เคยเกิดปรากฎการณ์นี้เลยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
          ราคาข้าวเปลือกเหนียวได้เริ่มขยับขึ้นช่วงเดือนก.ค.-ส.ค.2562 โดยราคาข้าวเปลือกเหนียวขึ้นมาอยู่ที่ตันละ 13,900-17,600 บาท ณ วันที่ 16 ส.ค.2562 เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 59.90% และราคาข้าวสารเหนียวเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 19,610 บาท เพิ่มเป็นตันละ 38,500-38,600 บาท เพิ่มขึ้น 98.20% และบางช่วงราคาขยับทะลุเกิน 4 หมื่นบาทต่อตันก็มี
          ผลจากราคาข้าวเหนียวที่สูงขึ้น มาจากปัญหาภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตลดลง และเป็นช่วงรอยต่อผลผลิตฤดูกาลใหม่ยังไม่ออก ซึ่งกรมการค้าภายในได้เข้าไปแก้ไขปัญหาด้วยการผลิตข้าวเหนียวบรรจุถุงราคาถูกออกจำหน่าย เพื่อแก้ไขปัญหา โดยวางจำหน่ายในร้านธงฟ้า และห้างโมเดิร์นเทรด จนสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคข้าวเหนียวได้ระดับหนึ่ง
          แต่ที่น่าเจ็บใจ ก็คือ ข้าวเหนียวบริโภค กลับขึ้นราคาแล้วขึ้นราคาเลย ทั้งๆ ที่ปัจจุบันราคาข้าวเปลือกเหนียวได้ปรับตัวลงมามากแล้วก็ตาม เล่นเอาคอข้าวเหนียวเซ็งไปตามๆ กัน    
 
ปั่นป่วนที่สุด


          วันที่ 25 ต.ค.2562 มีข่าวจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หรือยูเอสทีอาร์ ประกาศว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศระงับการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (จีเอสพี) กับสินค้าไทย 573 รายการ คิดเป็นมูลค่า 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 4 หมื่นล้านบาท โดยจะมีผลบังคับใช้ 25 เม.ย.2563 เนื่องจากไทยล้มเหลวในการจัดสิทธิที่เหมาะสมให้กับแรงงานตามหลักสากล
          ข่าวนี้ สร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาล กับภาคเอกชนในทันที เดือดร้อนกันไปหมด ทั้งเช็กข่าว เช็กผลกระทบ ประชุมเตรียมการรับมือ เริ่มจาก ครม.เศรษฐกิจ สั่งการให้ 3 กระทรวง คือ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงพาณิชย์เตรียมรับมือ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งวอร์รูมช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ตลอดจนเตรียมการเจรจากับยูเอสทีอาร์ เพื่อหาทางออกในเรื่องนี้
          จากนั้น ทุกภาคส่วนได้มะรุมมะตุ้ม เพื่อหามาตรการรับมือและแก้ไขปัญหา แต่ท้ายที่สุด เรื่องก็เบาลงไป มีข่าวออกมาพอเป็นพิธีว่าไทยกำลังหารือกับยูเอสทีอาร์ เพื่อแก้ไขปัญหาให้ได้ก่อนเส้นตายที่สหรัฐฯ จะตัดสิทธิจีเอสพีสินค้าไทย
          ผิดกับในช่วงแรกๆ ที่เรียกความสนใจได้มากถึงมากที่สุด แต่สุดท้ายเรื่องก็เบาและเงียบหายไป จนลืมไปว่า เพิ่งสร้างความปั่นป่วนมามากแค่ไหน
                  
 
จัดระเบียบเร็วที่สุด


          ถ้าย้อนเวลาได้ ทีมตบทรัพย์จับลิขสิทธิ์คงไม่ไปล่อซื้อจับกระทงกับเด็กหญิงเป็นแน่ เพราะหลังเป็นข่าว ทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทนายความ กระทั่งกระทรวงพาณิชย์ ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเด็กหญิงที่ถูกตบทรัพย์ จนสร้างปรากฏการณ์แฉรายวัน เพราะมีผู้ออกมาให้ข้อมูลว่าถูกตบทรัพย์ในคดีละเมิดลิขสิทธิ์กันอีกเป็นจำนวนมาก
          ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้แก้ปัญหาในเบื้องต้น โดยเชิญเจ้าของลิขสิทธิ์เข้ามาหารือ เพื่อขอความร่วมมือในการมอบหมายให้ตัวแทนลิขสิทธิ์ไปดำเนินคดีละเมิดลิขสิทธิ์ จะต้องมีความชัดเจน ตรวจสอบได้ พร้อมกับเดินหน้าจัดระเบียบตัวแทนดำเนินคดีลิขสิทธิ์ เพื่อสร้างความเป็นธรรม ไม่ให้มีการแอบอ้างไปดำเนินคดีลิขสิทธิ์ จนทำให้ประชาชนเดือดร้อน
          จนในที่สุด ได้ออกประกาศเรื่องการแจ้งข้อมูลตัวแทนดำเนินคดีละเมิดลิขสิทธิ์ พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2562 ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้มีการแจ้งขึ้นทะเบียนตัวแทนดำเนินคดีละเมิดลิขสิทธิ์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบข้อมูลตัวแทนแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป โดยสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดที่ติดอยู่กับบัตร เพื่อตรวจสอบได้เลย โดยจะดูได้ว่าใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ระยะเวลาที่ได้รับมอบอำนาจ และผลงานที่ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดี
          เป็นการจัดระเบียบ เพื่อดูแลและป้องกันความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้เร็วที่สุดอีกงานหนึ่ง
 
ลุ้นมากที่สุด

          ต้องเรียกว่า ลุ้นกันเป็นรายเดือนเลยทีเดียว สำหรับการแถลงตัวเลขการส่งออกในแต่ละเดือนของกระทรวงพาณิชย์ เพราะปี 2562 ถือเป็นปีที่ยากลำบาก ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว และยังมีผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ส่งผลในทางลบ
          การส่งออกในช่วงที่ผ่านมา 11 เดือน เริ่มจากประเดิมเดือนแรกของปี ม.ค.2562 ติดลบ 5.90% , ก.พ.2562 พลิกกับมาเป็นบวก 5.63% จากนั้นติดลบยาว มี.ค.2563 ลบ 5.04% เม.ย.2562 ลบ 2.77% พ.ค.2562 ลบ 6.21% มิ.ย.2562 ลบ 2.20% ก.ค.2562 กลับมาเป็นบวกได้อีกครั้ง 4.28% ส.ค.2562 ลบ 4.00% ก.ย.2562 ลบ 1.39% ต.ค.2562 ลบ 4.54% และล่าสุดพ.ย.2562 ลบ 7.39%
สรุปติดลบ 9 เดือน เป็นบวกได้แค่ 2 เดือน ทำให้ยอดรวม 11 เดือนทำได้มูลค่า 227,090.3 ขยายตัวติดลบ 2.77%
          เรียกได้ว่า การแถลงตัวเลขส่งออกในแต่ละเดือน ไม่ใช่ลุ้นว่าจะทำได้มูลค่าเท่าไร บวกได้มากน้อยแค่ไหน แต่กลับต้องมาลุ้นกันว่า จะลบมากลบน้อยเท่าไรในแต่ละเดือน เป็นเรื่องที่ทำให้ต้องลุ้นกันตลอดทั้งปี  
 
  
คิวงานเยอะที่สุด


          คนที่ขยันที่สุดในกระทรวงพาณิชย์ประจำปี 2562 คงหนีไม่พ้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพราะมีคิวงานในแต่ละวันยาวเป็นหางว่าว ไม่เว้นแม่กระทั่งวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
          สาเหตุที่คิวงานเยอะยิ่งกว่าดารา ก็เพราะนายจุรินทร์ สวมหมวกเยอะถึง 4 ใบ กล่าวคือ เป็นรองนายกรัฐมนตรี , เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ , เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นส.ส. ทำให้ต้องทำงานในทุกบทบาทให้ดีที่สุด เรียกได้ว่า งานหลวง งานราษฎร์ ห้ามขาด
          ถึงแม้จะมีคิวงานเยอะที่สุด แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ และจะไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดคิวงาน ประเภทแทรกเวลา 10 นาที 20 นาที ก็เอา และจัดได้เป๊ะ จนสามารถขับเคลื่อนงานในแต่ละบทบาทได้สำเร็จ ไม่กระทบการทำหน้าที่ของนายจุรินทร์ ไม่ว่าจะสวมหมวกใบไหน
          ขยันที่สุดแห่งปี คงต้องยกให้
 
ติดตามข่าวสารพาณิชย์ง่ายที่สุด

          ปิดท้ายด้วยช่องทางการติดตามข่าวสารของกระทรวงพาณิชย์ ที่จัดทำโดยทีมงาน CNA Online สามารถติดตามได้ผ่านทางไลน์แอด กดติดตามได้ที่ http://line.me/ti/p/%40uld0329i หรือทวิตเตอร์ ติดตามได้ที่ https://twitter.com/CNAOnlineTwit หรือช่องทางเพซบุ๊กที่ https://www.facebook.com/commercenewsagency
          เป็น 3 ช่องทางที่ติดตามข่าวสารกระทรวงพาณิชย์ ได้ง่ายสุด และเร็วที่สุด (ขออนุญาตโฆษณาปิดท้ายหน่อย เลิฟๆ จากใจแอดมิน)
 

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง