​“พาณิชย์”ประกาศดีเดย์ 1 ม.ค.69 นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต้องปลอดการเผา

img

กรมการค้าต่างประเทศประกาศดีเดย์ ตั้งแต่ 1 ม.ค.69 กำหนดให้ผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต้องขึ้นทะเบียนรายปี ต้องมีหลักฐานว่าสินค้าที่นำเข้าปลอดการเผา เพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ข้ามพรมแดน และสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปแหล่งปลูกได้ จากนั้นเพิ่มความเข้ม ใบรับรองต้องมาจากหน่วยงานที่ยอมรับของประเทศผู้ส่งออกเท่านั้น และมีแผนที่แปลงปลูกมายันด้วย เตรียมนำเสนอ ครม. พร้อมมาตรการป้องกันการขาดแคลน และมาตรการดูแลเกษตรกร
         
นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 เป็นต้นไป กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จะกำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะต้องมีหลักฐานเพื่อแสดงว่าสินค้าที่นำเข้ามาจากกระบวนการผลิตที่ “ปลอดการเผา” เพื่อลดการก่อฝุ่นพิษ PM 2.5 ข้ามพรมแดนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน และเพื่อสร้างมาตรฐานการค้าใหม่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เนื่องจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่มีแหล่งนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่หลายพื้นที่ยังใช้วิธีเผาไร่หลังเก็บเกี่ยว ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ลอยข้ามมาไทย แต่ไทยจำเป็นต้องนำเข้า เพราะเป็นสินค้าที่ในประเทศผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ โดยต้องนำเข้าปีละกว่า 1.3–2 ล้านตัน
         
ทั้งนี้ มาตรการใหม่จะกำหนดให้ผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต้องขึ้นทะเบียนรายปีกับกรม และในการนำเข้าจะต้องแสดงหลักฐานว่าสินค้ามาจากการผลิตแบบปลอดการเผาตามหลักฐานที่กำหนด โดยในช่วงแรกถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน (transitional period) ของผู้นำเข้าไทย มีเป้าหมายจะเริ่มตั้งแต่ ม.ค.2569 ไปจนกระทั่ง พ.ร.บ.อากาศสะอาด และกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้ โดยจะให้ผู้นำเข้าสามารถรับรองตนเองได้ว่าสินค้านำเข้ามาจากแหล่งที่ไม่เผา หรือใช้เอกสารจากหน่วยงานรัฐของประเทศผู้ส่งออกหรือองค์กรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเป็นผู้รับรองก็ได้ พร้อมกับจะต้องมีการบันทึกข้อมูลการเพาะปลูก และที่ตั้งแปลงปลูกของสินค้าที่นำเข้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแปลงเพาะปลูกในกรณีที่เกิดเหตุอันควรสงสัย

ส่วนในระยะที่สอง จะเริ่มภายหลังจาก พ.ร.บ.อากาศสะอาด และกฎหมายลูกมีผลบังคับใช้แล้ว จะใช้มาตรการที่มีความเข้มงวดมากขึ้น อาทิ การนำเข้าจะต้องใช้ใบรับรองจากหน่วยงานที่ยอมรับของประเทศผู้ส่งออกเท่านั้น และจะต้องมีแผนที่แปลงการเพาะปลูกมาประกอบด้วย เป็นต้น   



นายดวงอาทิตย์กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ไทยใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมกับการนำเข้าสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นมาตรการที่ร่วมกันตกผลึกตั้งแต่ต้นปี 2568 ระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน เกษตรกร และนักลงทุนไทยในประเทศเพื่อนบ้าน โดยร่วมกันหาแนวทางที่มีประสิทธิภาพ ค่อยเป็นค่อยไป ตรวจสอบได้ ไม่เป็นอุปสรรคเกินไปต่อการค้าระหว่างประเทศ และบังคับใช้อย่างเท่าเทียมทั้งสินค้ามาจากต่างประเทศและในประเทศอันสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศทั้งอาเซียนและภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO)

อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ อยู่ระหว่างการนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ควบคู่ไปพร้อมกับแนวทางการป้องกันการขาดแคลนข้าวโพดเพื่อใช้ผลิตอาหารสัตว์ในกรณีที่การนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านมีปัญหา ที่กำหนดโดยคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ) อาทิ การขยายโควตานำเข้าในกรอบ WTO ในระดับที่เหมาะสม พร้อมลดภาษีลงเหลือ 0% เป็นต้น โดยที่ยังคงมาตรการป้องกันผลกระทบที่จะเกิดกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างเข้มงวด เช่น มาตรการผู้นำเข้าต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน ต่อการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือข้าวสาลีจากต่างประเทศ 1 ส่วน

สำหรับสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นวัตถุดิบสำคัญของการผลิตอาหารสัตว์ โดยในปี 2567/68 ไทยมีผลผลิตในประเทศ ต่อความต้องการใช้ อยู่ที่ 4.558 ล้านตัน ต่อ 8.436 ล้านต้น และในปี 2568/69 อยู่ที่ 4.739 ล้านตัน ต่อ 9.201 ล้านตัน ทำให้มีการนำเข้าในปี 2567 และช่วง 6 เดือน ปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) อยู่ที่ 2.01 ล้านตัน และ 1.169 ล้านตัน ตามลำดับ โดยปี 2567 นำเข้าจาก เมียนมา สัดส่วน 87% สปป.ลาว 12.61% กัมพูชา 0.39% ในขณะที่ประเทศที่ส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สำคัญของโลก ได้แก่ สหรัฐฯ บราซิล และอาร์เจนตินา   

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง