
สนค.เปิดเวทีระดมความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูลหน่วยงานภาครัฐ เอกชน วิชาการ จัดทำข้อเสนอแนะแนวทางสำหรับภาครัฐและภาคเอกชน ในการเปลี่ยนผ่านแบบควบคู่ (Twin Transition) ของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องแต่งกาย และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ควบคู่กับการพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สร้างโอกาสเติบโตทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
น.ส.ณัฐิยา สุจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้จัดประชุมโดยระดมความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ เกี่ยวกับร่างข้อเสนอแนะแนวทางสำหรับภาครัฐและภาคเอกชน ในการเปลี่ยนผ่านแบบควบคู่ (Twin Transition) ของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องแต่งกาย และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในการเปลี่ยนผ่านด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลควบคู่กับการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“สนค. ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตทางเศรษฐกิจการค้าของไทย จึงดำเนินโครงการศึกษาการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในการเปลี่ยนผ่านด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลควบคู่กับการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกว่า Twin Transition โดยศึกษาและรวบรวมข้อมูล ระดมความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งลงพื้นที่ศึกษาแนวทางการเปลี่ยนผ่านแบบควบคู่ จากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องแต่งกาย และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงแนวทางสำหรับภาคเอกชนในการเปลี่ยนผ่านแบบควบคู่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME”
สำหรับการประชุมครั้งนี้ ได้มีการนำเสนอผลการศึกษาที่ผ่านมา และการลงพื้นที่เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านแบบควบคู่ของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องแต่งกาย ได้แก่ บริษัท เพอร์มา คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสิ่งทอเชิงสุขภาพของไทย และบริษัท พาลาดิน เวิร์คแวร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องแบบที่ใช้เส้นใยโพลิเอสเตอร์รีไซเคิล และในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ได้แก่ แบรนด์โลกา ที่ออกแบบและผลิตวัสดุตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุรีไซเคิล และแบรนด์เพิ่มคุณค่า ที่ใช้ไม้จากสวนป่าปลูกที่มีการจัดการอย่างรับผิดชอบ
โดยพบว่า ทั้งสองอุตสาหกรรมมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย และผู้ประกอบการจากทั้งสองอุตสาหกรรมตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนากระบวนการผลิตและสินค้าให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยทั้งสองอุตสาหกรรมมีจุดแข็งในด้านการออกแบบสินค้าให้มีคุณสมบัติ การใช้งาน อัตลักษณ์เฉพาะ การเลือกใช้วัสดุและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการ และการตลาด อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) 3D Printing และระบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต และใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในสองอุตสาหกรรม โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน อาทิ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การขอรับรองมาตรฐานของต่างประเทศ การปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและการค้าของประเทศคู่ค้า การแข่งขันกับสินค้าจากต่างประเทศ รวมถึงความท้าทายด้านความรู้ ความเข้าใจ และการตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านทั้งในด้านดิจิทัลและด้านสิ่งแวดล้อมของแรงงาน ผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่อง และผู้บริโภค
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมได้หารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างข้อเสนอแนะแนวทางสำหรับหน่วยงานภาครัฐ ในการส่งเสริมผู้ประกอบการให้สามารถเปลี่ยนผ่านแบบควบคู่ อาทิ การพัฒนามาตรฐานสินค้าให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล พร้อมทั้งมีหน่วยงานเฉพาะที่รับผิดชอบการกำกับดูแล การตรวจรับรอง และการควบคุมการใช้มาตรฐานดังกล่าว เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขอรับรองมาตรฐานจากต่างประเทศที่มีต้นทุนสูง การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยออกแบบเครื่องมือทางการเงินที่มีเงื่อนไขเหมาะสม เช่น สินเชื่อหรือกองทุนเฉพาะกิจสำหรับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และมาตรการส่งเสริมการลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและเครื่องจักร การส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญและความร่วมมือของอุตสาหกรรมในห่วงโซ่อุปทาน เช่น ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ ระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้า และระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาทักษะแรงงานและผู้ประกอบการ ทั้งด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมการเข้าถึงตลาดและการสร้างความต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การกำหนดมาตรการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ การเผยแพร่ข้อมูลกฎระเบียบของประเทศคู่ค้าให้เข้าถึงง่าย และการสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจของผู้บริโภคเพื่อให้เลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านแบบควบคู่ในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องแต่งกาย และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ถือเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งยกระดับภาพลักษณ์สินค้าไทยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและทันสมัย และส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อย่างยั่งยืน”น.ส.ณัฐิยากล่าว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง