
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า รับลูก “นภินทร” ยกร่างประกาศ กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี (ฉบับที่. ...) พ.ศ. ... เพิ่มเติมเงื่อนไขและคุณสมบัติของผู้ทำบัญชี ต้องไม่เป็นผู้ที่ให้การช่วยเหลือ สนับสนุน ร่วมประกอบธุรกิจกับคนต่างด้าว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในธุรกิจที่กฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวห้ามไว้ หากทำมีความผิดทางพินัย ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ทำบัญชี เผยล่าสุดได้เปิดรับฟังความคิดเห็น จนถึงวันที่ 7 พ.ค.นี้
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (นอมินี) ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหากรณีคนต่างด้าวเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยโดยพยายามเลี่ยงกฎหมายและใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (นอมินี) กรมจึงได้ดำเนินการสอบสวนขยายผล พบว่า มีสำนักงานบัญชีและผู้ทำบัญชี มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นกับการกระทำความผิด โดยให้คำแนะนำและดำเนินการช่วยเหลือการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลให้ชาวต่างชาติโดยใช้ชื่อคนไทยเป็นกรรมการ ผู้ถือหุ้น ในลักษณะนอมินี เพื่อให้คนต่างด้าวสามารถเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยได้ โดยหลีกเลี่ยงการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้น เพื่อป้องปรามผู้ทำบัญชีไม่ให้กระทำการช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุนคนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยผิดกฎหมาย เพราะส่งผลกระทบให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทย นายนภินทรจึงได้มอบนโยบายให้กรมยกร่างประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรื่อง กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี (ฉบับที่. ...) พ.ศ. ... ขึ้น เพื่อกำหนดห้ามบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าว เป็นผู้ทำบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี
สำหรับร่างประกาศดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้ทำบัญชี ต้องไม่เป็นผู้ให้การช่วยเหลือ สนับสนุน ร่วมประกอบธุรกิจ หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว หากพบว่าผู้ทำบัญชีมีพฤติกรรมดังกล่าว นอกจากจะมีความผิดทางพินัย ซึ่งจะต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท ตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ. 2543 แล้ว ก็จะขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ทำบัญชีตามร่างประกาศฉบับนี้ เว้นแต่ 1.พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ได้ชำระค่าปรับเป็นพินัยหรือศาลได้พิพากษาว่ามีความผิดดังกล่าว หรือ 2.ได้ให้ถ้อยคำ หรือแจ้งเบาะแส หรือข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญจนสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 บุคคลดังกล่าวจึงจะสามารถกลับมาเป็นผู้ทำบัญชีได้อีกครั้ง
“การกำหนดห้ามบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวเป็นผู้ทำบัญชี จะเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และสร้างความเป็นธรรมในการประกอบธุรกิจ รวมถึงเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบการชาวไทยและชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นร่างประกาศดังกล่าวผ่านระบบกลางทางกฎหมาย www.law.go.th ระหว่างวันที่ 23 เม.ย.-7 พ.ค.2568 กรมจึงขอเชิญผู้สนใจร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางข้างต้น เพื่อที่จะได้นำความคิดเห็นมาปรับใช้ในการยกร่างประกาศต่อไป”นางอรมนกล่าว
ทั้งนี้ ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 กำหนดให้คนต่างด้าวที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจในไทย โดยถือหุ้นตั้งแต่กึ่งหนึ่ง (50% ของทุนทั้งหมด) ในประเภทธุรกิจที่ปรากฏในบัญชีท้าย พ.ร.บ. อาทิ การก่อสร้าง การค้าปลีก (ที่มีทุนขั้นต่ำน้อยกว่า 100 ล้านบาท) การค้าส่ง (ที่มีทุนขั้นต่ำน้อยกว่า 100 ล้านบาท) การทำกิจการโรงแรม การนำเที่ยว การขายอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือทำธุรกิจบริการอื่น ๆ จะต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยคนต่างด้าวที่ฝ่าฝืนถือเป็นความผิดตามมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ ตั้งแต่ 1 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท หรือทั้งจำและปรับ และคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน กระทำความผิดนอมินี จะมีความผิดตามมาตรา 36 ซึ่งต้องระวางโทษในอัตราเดียวกัน
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง