“พิชัย” ลงนาม FTA ไทย-เอฟตา ฉบับประวัติศาสตร์แล้ว หลังเจรจากันมา 2 ปี มี “แพทองธาร” และเลขาธิการเอฟตา ร่วมเป็นสักขีพยาน เผยเป็นฉบับแรกที่ไทยทำกับยุโรป เป็นมาตรฐานใหม่ ที่จะช่วยปูทางไปสู่การทำ FTA กับอียู และประเทศอื่น ๆ ในอนาคต มั่นใจจะเป็นยุคทอง เพิ่มการค้า ดึงดูดการลงทุน จากนี้จะเผยแพร่ผลการเจรจา ก่อนนำเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกกฎ ระเบียบรองรับ คาดภายใน 1 ปีจบ และให้สัตยาบันบังคับใช้
         
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังร่วมลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-เอฟตา หรือสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Associations : EFTA) พร้อมกับนายกี ปาร์เมอแล็ง รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจสวิตเซอร์แลนด์ ซิซีลี เมียร์เซ็ท รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมนอร์เวย์ โดมินิค แฮชเลอร์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศลิกเตนสไตน์ และมาร์ติน เอยอบสัน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศไอซ์แลนด์ โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย และเคิร์ท เจเกอร์ เลขาธิการเอฟตา ร่วมเป็นสักขีพยาน ที่ House of Switzerland เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ว่า FTA ฉบับนี้ เป็น FTA แรกของไทยกับยุโรป หลังจากที่ได้เจรจากันมา 2 ปี และรัฐบาลนี้ได้หาข้อสรุปร่วมกับเอฟตา จนการเจรจาประสบความสำเร็จใน 3 เดือน ซึ่งเรื่องนี้ จะปรากฎไปทั่วโลก และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกลับเข้ามาสู่แผนที่โลกแล้ว
         
สำหรับ FTA ไทย-เอฟตา จะเป็น FTA ที่มีมาตรฐานใหม่ ยกไปอีกระดับหนึ่ง ทำให้ไทยขยายโอกาสการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป (อียู) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และประเทศต่าง ๆ ในอนาคต และยังจะแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีมาตรฐานที่ดีขึ้น เพราะการได้ลงนาม FTA กับประเทศที่มีมาตรฐานที่ดี จะช่วยยกระดับมาตรฐานของไทย และไทยยังจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ทั้งด้านภาพพจน์ การลงทุน และการค้า
         
นายพิชัยกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเป็นแหล่งลงทุนของประเทศต่าง ๆ ที่จะไหลเข้ามา ปีที่แล้ว มีการลงทุนเข้ามามากกว่า 1 ล้านล้านบาท และปีนี้จะไหลเข้ามามากขึ้น เป็นนิมิตหมายที่ดี และอนาคตการลงทุนที่เกิดขึ้น เชื่อว่าจะมีอีกเป็นหมื่น เป็นแสนล้านบาท เพราะ FTA ฉบับนี้ จะนำสู่การเจรจา FTA กับอียู และมีหลายประเทศหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น ไทยต้องเร่งให้มี FTA มากขึ้น ให้มากกว่าหรือเท่ากับเวียดนาม เพื่อแข่งขันกับเวียดนาม โดย FTA จะเป็นแต้มต่อ ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีและแข่งขันกับประเทศอื่นได้ ซึ่งมีหลายประเทศ สนใจเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น PCB Data Center หรือ AI และสำหรับผู้ประกอบการไทย ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ แต่ต้องปรับตัวให้มีมาตรฐานที่ดีขึ้น ขายของไปทั่วโลก
         


“ตั้งแต่นี้ต่อไป ขอยืนยันว่าจะเป็นยุคทองของไทย เหมือนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ พูดว่า เป็นยุคทองของอเมริกา ผมก็เชื่อว่าจะเป็นยุคทองของไทย และจากนี้ ต้องช่วยกันแก้เรื่องหนี้ ตอนนี้เรามีเงินลงทุนเข้ามาเยอะ ส่งออกก็ดี ปีที่แล้วทั้งปีบวก 5.4% และปีนี้ก็จะดี ต่อไปประเทศไทยเจริญขึ้น ไม่กี่เดือนที่นายกแพทองธาร เข้ามา ภาพของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงชัดเจน ท่านนายกฯ มีความคิด มีวิธีการเป็นที่นิยม มีแต่คนอยากขอเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ถ้าเรารักษาแบบนี้ ต่อไปประเทศเราเจริญแน่นอน”นายพิชัยกล่าว
         
ทั้งนี้ ภายหลังการลงนาม กระทรวงพาณิชย์จะเผยแพร่ผลการเจรจา และเปิดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ก่อนเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว หน่วยงานภายในประเทศของไทยจะต้องดำเนินการออกกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการมีผลบังคับใช้ของ FTA ฉบับนี้ให้เรียบร้อย จากนั้นไทยจึงจะสามารถให้สัตยาบัน คาดว่ากระบวนการทั้งหมด จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี และในช่วงระหว่างนี้ ภาคเอกชนไทย ควรศึกษาแนวทางการใช้ประโยชน์จากความตกลงในการขยายโอกาสทางธุรกิจ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ทันทีที่ความตกลงมีผลบังคับใช้
         
ปี 2567 ไทย-เอฟตา มีมูลค่าการค้ารวม 11,788.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 1.94% ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก เพิ่มขึ้น 19.22% โดยไทยส่งออกไปเอฟตา 4,225.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากเอฟตา 7,563.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปเอฟตา ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ เหล็กและผลิตภัณฑ์ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องใช้สำหรับเดินทาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เครื่องสำอาง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ข้าว สินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากเอฟตา ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม ยากำจัดศัตรูพืช เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ สัตว์นำสด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป เคมีภัณฑ์