​สนค.เผยผลสำรวจท่องเที่ยวปลายปี คนนิยมไปภาคเหนือ ชื่นชมธรรมชาติ แวะคาเฟ่

img

สนค.เผยผลสำรวจการท่องเที่ยวปลายปี คนนิยมไปภาคเหนือมากที่สุด ตามด้วยภาคกลาง และตะวันออกเฉียงเหนือ นิยมท่องเที่ยวธรรมชาติ คาเฟ่ ร้านอาหาร พักผ่อนในที่พัก ส่วนใหญ่กังวลเรื่องความแออัด ปัญหาจราจร ความปลอดภัย
         
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เดือน พ.ย.2568 จำนวน 6,266 ราย ครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทยช่วงปลายปี 2568 ว่า พฤติกรรมและแผนการท่องเที่ยวช่วงปลายปี ภาคเหนือยังคงเป็นภูมิภาคยอดนิยมที่ประชาชนต้องการไปท่องเที่ยว ร้อยละ 42.90 ตามมาด้วยภาคกลาง ร้อยละ 19.17 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 14.95 โดยประชาชนในภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะไปท่องเที่ยวในภาคเหนือมากที่สุด ส่วนประชาชนในภูมิภาคอื่น ๆ มีแนวโน้มจะไปท่องเที่ยวในภูมิภาคของตนเองมากที่สุด โดยเฉพาะประชาชนในภาคเหนือและภาคใต้ที่มีสัดส่วนการท่องเที่ยวในภูมิภาคของตนเองมากที่สุดที่ร้อยละ 66.39 และ 53.19 ตามลำดับ
         
สำหรับกิจกรรมที่ประชาชนคาดว่าจะทำในระหว่างการท่องเที่ยว ได้แก่ การท่องเที่ยวธรรมชาติ ผจญภัยและกีฬา ที่ร้อยละ 27.81 ตามมาด้วยการเที่ยวคาเฟ่และร้านอาหารยอดฮิต ที่ร้อยละ 24.91 และการพักผ่อนในที่พัก ที่ร้อยละ 18.02 โดยเมื่อพิจารณาจากคนที่มีความต้องการไปท่องเที่ยวในเกือบทุกภูมิภาค พบว่า มีการวางแผนในการท่องเที่ยวธรรมชาติและร้านอาหารยอดฮิตมากที่สุด ในขณะที่ภาคตะวันตก พบว่า นอกเหนือจากการท่องเที่ยวธรรมชาติแล้ว ประชาชนยังมีความต้องการท่องเที่ยวโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์เป็นลำดับรองลงมา
         
ส่วนการคาดการณ์ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว ประชาชนจะมีการใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 5,000–10,000 บาทต่อคนต่อทริปมากที่สุด ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อทริป และค่าใช้จ่ายระหว่าง 10,001–30,000 บาทต่อคนต่อทริปเป็นลำดับรองลงมา โดยการท่องเที่ยวในภาคเหนือและภาคใต้ น่าจะเป็นภูมิภาคที่มีแนวโน้มค่าใช้จ่ายสูงกว่าภาคอื่น ๆ และเมื่อพิจารณาตามประเภทค่าใช้จ่าย พบว่า ประชาชนให้ความสำคัญสูงสุดกับค่าใช้จ่ายในด้านอาหารร้อยละ 29.15 ค่าใช้จ่ายในด้านการเดินทาง ร้อยละ 26.41 และค่าใช้จ่ายด้านที่พัก ร้อยละ 25.90 ขณะที่การซื้อของฝากและการชอปปิงมีสัดส่วนน้อยกว่า ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่มประชาชนอายุระหว่าง 30-59 ปี และกลุ่มที่คาดการณ์ว่าจะมีการใช้จ่ายระหว่างการท่องเที่ยว 30,001–50,000 บาท มีแนวโน้มจะใช้จ่ายในการซื้อของฝากและการชอปปิงมากที่สุด ซึ่งอาจช่วยสะท้อนความต้องการของประชาชนที่ผู้ประกอบการอาจจำเป็นต้องพิจารณาการทำการตลาดในกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว
         


ทางด้านความกังวลของประชาชนในการท่องเที่ยวช่วงปลายปี 2568 พบว่า มีความกังวลในเรื่องความแออัดของสถานที่ท่องเที่ยวมากที่สุด ร้อยละ 22.62 รองลงมาด้วยความกังวลด้านการจราจร และความปลอดภัยและอุบัติเหตุ ร้อยละ 21.58 และ 20.63 ตามลำดับ โดยเมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุ พบว่า ประชาชนที่อายุต่ำกว่า 29 ปี และกลุ่มที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปมีความกังวลต่อเรื่องความปลอดภัยมากที่สุด ขณะที่ประชาชนที่อายุอยู่ระหว่าง 30–49 ปี มีความกังวลในด้านความแออัดของสถานที่ท่องเที่ยวและการจราจรมากที่สุด และเมื่อพิจารณาตามภูมิภาค พบว่า แม้ภาคเหนือจะเป็นจุดหมายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ประชาชนในภาคเหนือยังมีความกังวลด้านความแออัดของสถานที่ท่องเที่ยวและการจราจรมากที่สุด จึงอาจจำเป็นต้องพิจารณาการอำนวยความสะดวกและการบริหารจัดการการจราจร เพื่อให้การท่องเที่ยวสามารถเป็นการท่องเที่ยวคุณภาพในช่วงเวลาสำคัญของประชาชน

ขณะที่ความกังวลด้านราคาสินค้าและบริการที่อาจปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางมีความกังวลในประเด็นดังกล่าวมากที่สุด อาจจำเป็นต้องมีการติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการในช่วงเวลาดังกล่าว
         
นอกจากนี้ ในส่วนของประชาชนที่ไม่มีแผนการท่องเที่ยวช่วงปลายปี พบว่า ปัญหาทางการเงินและค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวสูง ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวร้อยละ 27.08 และ 23.76 ตามลำดับ เมื่อพิจารณาแยกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า เกษตรกร กลุ่มไม่ได้ทำงานและเกษียณอายุ และกลุ่มอาชีพอิสระ มีสัดส่วนความกังวลจากปัญหาดังกล่าวมากที่สุด และกลุ่มพนักงานของรัฐที่ยังไม่มีแผนการท่องเที่ยวปลายปีนี้ มีสัดส่วนร้อยละ 42.19 เนื่องจากมีแผนไปเที่ยวหลังจากนี้ เมื่อพิจารณาตามภูมิภาค พบว่า สถานการณ์อุทกภัยเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้การท่องเที่ยวของประชาชนในภาคใต้ปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน โดยสัดส่วนความกังวลจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 13.64 จากร้อยละ 4.80 จากผลการสำรวจก่อนหน้า
         
“แม้การท่องเที่ยวช่วงปลายปี 2568 และเทศกาลสำคัญอาจจะชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยจากสถานการณ์ภายในประเทศที่เกิดขึ้น อาทิ ความขัดแย้งบริเวณชายแดนและสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้สึกและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ แต่บรรยากาศการเฉลิมฉลองส่งท้ายปี 2568 ที่กระจายไปทั่วประเทศ ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ดังนั้น ภาครัฐต้องยกระดับความปลอดภัยในการเดินทาง บริหารจัดการความแออัดแหล่งท่องเที่ยว ส่วนกระทรวงพาณิชย์ต้องกำกับดูแลราคาสินค้าและบริการ ป้องกันการฉวยโอกาส ควบคู่การส่งเสริมการกระจายรายได้สู่ชุมชน ผ่านการสนับสนุนสินค้าชุมชนและสินค้าท้องถิ่น”นายนันทพงษ์กล่าว

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง