เงินเฟ้อ พ.ย.68 ลด 0.49% ลงต่อเนื่อง 8 เดือนติดต่อกัน เหตุราคาค่าไฟฟ้า น้ำมันลดลง และมีมาตรการลดค่าครองชีพรัฐมาช่วยฉุด ไม่ได้มีสัญญาณอะไร รวม 11 เดือน ลด 0.12% คาดเดือน ธ.ค.68 ยังติดลบอีก ทั้งปีจะลบระหว่าง 0.15-0.20% กลับมาลบอีกครั้งในรอบ 5 ปี ส่วนปี 69 ตั้งเป้าเงินเฟ้อ 0.0-1.0% ค่ากลาง 0.5%
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย เดือน พ.ย.2568 เท่ากับ 100.15 เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย.2567 ลดลง 0.49% เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 นับจากเดือน เม.ย.2568 ที่ลดลง 0.22% พ.ค.2568 ลดลง 0.57% มิ.ย.2568 ลดลง 0.25% ก.ค.2568 ลดลง 0.70% ส.ค.2568 ลดลง 0.79% ก.ย.2568 ลดลง 0.72% และ ต.ค.ลดลง 0.76% โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ทั้งค่ากระแสไฟฟ้าครัวเรือน และน้ำมันเชื้อเพลิง ปรับลดลงตามสถานการณ์พลังงานในตลาดโลก และมาตรการลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ และรวมเงินเฟ้อ 11 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) ลดลง 0.12%
ทั้งนี้ การที่เงินเฟ้อติดลบติดต่อกัน 8 เดือน ไม่ได้มีสัญญาณอะไร เพราะปัจจัยที่เป็นตัวฉุด มาจากเรื่องพลังงาน และมาตรการช่วยลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ โดยเงินเฟ้อไทยเคยติดลบมากสุด 12 เดือน ช่วงปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทั้งปีลบ 0.85% และช่วงปี 2558 ที่ติดลบ 10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงราคาน้ำมันตลาดโลกลด ทำให้ทั้งปีลบ 0.90%
สำหรับรายละเอียดเงินเฟ้อเดือน พ.ย.2568 ที่ลดลง 0.49% จากการลดลงของหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม 1.13% โดยสินค้าสำคัญที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพลังงาน (ค่ากระแสไฟฟ้า แก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน) ของใช้ส่วนบุคคล (น้ำยาระงับกลิ่นกาย สบู่ถูตัว ครีมนวดผม แชมพู ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว แป้งผัดหน้า) รถยนต์ ค่าโดยสารเครื่องบิน เสื้อผ้า (เสื้อยืดบุรุษ สตรี และเด็ก เสื้อเชิ้ตบุรุษและสตรี กางเกงขายาวบุรุษ) และสิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดบางชนิด (ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยารีดผ้า น้ำยาถูพื้น ผลิตภัณฑ์ฟอกผ้าขาว/น้ำยาซักผ้าขาว) ขณะที่มีสินค้าสำคัญปรับราคาสูงขึ้น อาทิ ค่าเช่าบ้าน ค่าทัศนาจรต่างประเทศและในประเทศ ค่าบริการขนขยะ และค่าแต่งผมบุรุษและสตรี

ส่วนหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้น 0.54% จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ อาทิ อาหารสำเร็จรูป (กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว) ผักสด (ผักชี ผักบุ้ง มะเขือ ผักคะน้า ผักกาดขาว พริกสด แตงกวา ถั่วฝักยาว) เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (กาแฟผงสำเร็จรูป กาแฟ (ร้อน/เย็น) เครื่องดื่มรสช็อกโกแลต) ผลิตภัณฑ์น้ำตาล (ขนมหวาน ไอศกรีม) ปลาและสัตว์น้ำ (ปลาทู ปลาช่อน ปลาทูนึ่ง ปลาหมึกกล้วย) และเครื่องประกอบอาหาร (กะทิสำเร็จรูป น้ำพริกแกง น้ำมันพืช) อย่างไรก็ตาม มีสินค้าหลายรายการราคาลดลง อาทิ ผลไม้สด (มะม่วง องุ่น กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม ส้มเขียวหวาน) ไข่ไก่ ข้าวสารเหนียว ข้าวสารเจ้า เนื้อสุกร และกระเทียม
ทางด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่หักอาหารสดและพลังงานออก สูงขึ้น 0.66% เพิ่มขึ้นจากเดือน ต.ค.2568 ที่สูงขึ้น 0.61% รวม 11 เดือน เพิ่มขึ้น 0.86%
นายนันทพงษ์กล่าวว่า แนวโน้มเงินเฟ้อเดือน ธ.ค.2568 คาดว่า จะติดลบต่ออีก ส่วนผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อไม่มากเพียง 0.01-0.05% โดยเงินเฟ้อทั้งปียังคงขยายตัวติดลบ 0.15-0.20% ซึ่งเป็นการกลับมาติดลบอีกครั้งในรอบ 5 ปี นับจากปี 2564-67 ที่เงินเฟ้อขยายตัวเป็นบวกมาโดยตลอด โดยปี 2564 เพิ่ม 1.23% ปี 2565 เพิ่ม 6.08% ปี 2566 เพิ่ม 1.23% และปี 2567 เพิ่ม 0.4% ส่วนเงินเฟ้อในปี 2569 สนค.ได้ประเมินว่าจะอยู่ระหว่าง 0.0-1.0% ค่ากลางอยู่ที่ 0.5% โดยมีสมมติฐานจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 1.2-2.2% น้ำมันดิบดูไบ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราแลกเปลี่ยน 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
โดยปัจจัยในปี 2569 ที่จะกดดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น มาจากราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากนโยบายรักษาเสถียรภาพราคา สินค้าบางรายการปลูกน้อยลง ทำให้เข้าสู่ตลาดลดลง ภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น คาดว่าจะมีจำนวน 34.9 ล้านคน รายได้รวม 2.79 ล้านล้านบาท ทำให้สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องอาจปรับขึ้น ส่วนปัจจัยที่ฉุดเงินเฟ้อ มาจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ราคาน้ำมันดีเซลมีแนวโน้มต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2568 ภาครัฐมีมาตรการลดค่าครองชีพต่อเนื่อง ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าโดยสารสาธารณะ ก๊าซหุงต้ม เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำเพียง 1.7% ต่ำกว่าปี 2568 ที่ 2% เป็นการขยายตัวต่ำกว่า 3% เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน และมีการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ ประกอบกับเงินบาทแข็งค่า ทำให้ต้นทุนถูกลง โดยเฉพาะเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง

