​ใช้สิทธิ์ FTA ส่งออกครึ่งปี 68 เพิ่ม 10.22% อาเซียนนำโด่ง ส่วน GSP สหรัฐฯ มากสุด

img

กรมการค้าต่างประเทศเผยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าช่วงครึ่งปี 68 มีการใช้สิทธิ์ FTA ส่งออก มูลค่า 44,785.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.22% สัดส่วนการใช้สิทธิ์ 79.64% อาเซียนนำโด่งใช้สิทธิ์สูงสุด ตามด้วยอาเซียน-จีน อาเซียน-อินเดีย ไทย-ญี่ปุ่น และไทย-ออสเตรเลีย ส่วนการใช้สิทธิ์ GSP ส่งออกสหรัฐฯ มากสุด แม้ยังไม่ต่ออายุโครงการ ตามด้วยสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ กลุ่ม CIS
         
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่ารวม 44,785.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.22% คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 79.64% ของการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ทั้งหมด โดยการใช้สิทธิ์ส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) อันดับหนึ่ง มูลค่า 15,732.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 67.69% รองลงมา คือ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 12,618.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 92.59% ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 5,530.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 75.35% ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 3,180.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 77.24% และความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 2,751.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 57.58%

สำหรับสินค้าที่มีการใช้สิทธิ์ FTA สูงสุด 5 อันดับแรก แบ่งเป็นสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ได้แก่ ทุเรียนสด น้ำตาลที่ได้จากอ้อย ไก่ที่ปรุงแต่ง เนื้อของสัตว์ปีกเลี้ยงแช่เย็นจนแข็ง และผลไม้สด (ฝรั่ง มะม่วง และมังคุด) มูลค่า 12,514.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 27.94% ของมูลค่าการใช้สิทธิ์ทั้งหมด และสินค้าอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ และเครื่องปรับอากาศชนิดติดผนังหรือ ติดเพดาน และแพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ มูลค่ารวม 32,271.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 72.06% ของมูลค่าการใช้สิทธิ์ทั้งหมด

ทั้งนี้ การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA ดังกล่าว กรมได้ติดตามและรวบรวมข้อมูลการใช้สิทธิ์ภายใต้ FTA จำนวน 12 ฉบับ จากทั้งหมด 14 ฉบับที่ไทยมีอยู่ โดยยกเว้นความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) ที่ใช้การรับรองตนเองของผู้ส่งออก (Self-Declaration) ลงบนเอกสารทางการค้า โดยไม่ผ่านกรม และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง (AHKFTA) เนื่องจากฮ่องกงเป็น Free Port มีอัตราภาษีนำเข้าที่ 0% ทุกรายการ



“ในยุคที่การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศเข้มข้นขึ้น การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจาก FTA จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพสูง ทั้งในด้านขนาดเศรษฐกิจ จำนวนประชากร และความต้องการบริโภคที่หลากหลาย เช่น ตลาดอาเซียนซึ่งเป็นตลาดที่มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์สูงที่สุดสำหรับไทย ส่วนตลาดจีน ยังคงเป็นตลาดอันดับหนึ่งสำหรับผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียนที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง และตลาดอินเดียที่มีศักยภาพการบริโภคสูงจากแนวโน้มการเติบโตของประชากรกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ทั้งสามตลาดนี้ ไม่เพียงแต่เป็นคู่ค้าอันดับต้น ๆ ของไทย แต่ยังเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการไทยมีการใช้สิทธิ์ภายใต้ FTA อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องอีกด้วย”นางอารดากล่าว

อย่างไรก็ตาม กรมมีแผนผลักดันและส่งเสริมการใช้สิทธิ์ให้กับผู้ประกอบการ ผ่านการจัดสัมมนาให้ความรู้ทั่วประเทศ โดยในปีงบประมาณ 2568 ได้จัดสัมมนาไปแล้วจำนวน 10 ครั้ง ครอบคลุมพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ และมีผู้ประกอบการเข้าร่วมรวมทั้งสิ้นมากกว่า 1,300 ราย และในปีงบประมาณ 2569 กรมจะเดินหน้าส่งเสริมและขยายการใช้สิทธิ์อย่างเข้มข้น ผ่านการทำงานเชิงรุก ทั้งในระดับนโยบายและพื้นที่ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ได้อย่างเต็มศักยภาพ

นางอารดากล่าวว่า นอกจากการติดตามการใช้สิทธิ์ภายใต้ FTA แล้ว กรมยังได้ติดตามการใช้สิทธิ์สำหรับการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) โดยในช่วงครึ่งปี 2568 มีมูลค่า 1,840.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ์ 45.40% โดยประเทศปลายทางที่ไทยมีการส่งออกไปมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง คือ สหรัฐฯ มูลค่า 1,711.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 47.91% สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 119.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 26.91% นอร์เวย์ มูลค่า 7.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 46.70% และกลุ่มประเทศ CIS มูลค่า 1.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 8.68% ตามลำดับ

ปัจจุบันไทยได้รับสิทธิ์ GSP จาก 4 ประเทศ/กลุ่มประเทศ ได้แก่ โครงการ GSP ของสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ซึ่งประกอบด้วย ยูเครน อาเซอร์ไบจาน ทาจิกิสถาน มอลโดวา อุซเบกิสถาน จอร์เจีย และเติร์กเมนิสถาน ส่วนโครงการ GSP ของสหรัฐฯ หมดอายุไปแล้วตั้งแต่ 31 ธ.ค.2563 และขณะนี้รัฐสภาสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายเพื่อต่ออายุโครงการดังกล่าว ซึ่งกรมได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการแจ้งการขอใช้สิทธิ์ GSP อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบการ เนื่องจากที่ผ่านมากฎหมายการต่ออายุ GSP จะมีบทบัญญัติการให้คืนภาษีนำเข้าย้อนหลัง เมื่อโครงการได้รับการต่ออายุ

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง