
“จตุพร-ฉันทวิชญ์” ถกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ติดตามสถานการณ์ข้าวครึ่งปีหลัง 2568 ทั้งแนวโน้มส่งออก แนวโน้มตลาด และร่วมกำหนดมาตรการดูแลข้าว สั่งกรมการค้าภายในเตรียมมาตรการดูแลข้าวนาปี กรมการค้าต่างประเทศเร่งเจรจาจีนซื้อข้าวโควตาคงค้าง 2.8 แสนตัน โปรโมตข้าวในงาน China-ASEAN EXPO 2025 และ CIIE 2025 เร่งเจาะตลาดญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย บังกลาเทศ และฮ่องกงเพิ่ม เอกชนขอช่วยเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าว ดูแลค่าบาท
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการหารือร่วมกับร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และคณะ โดยมีนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วม ว่า ได้มีการติดตามสถานการณ์ข้าวไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ทั้งแนวโน้มการส่งออก แนวโน้มตลาด ท่ามกลางความท้าทายจากตลาดโลก และร่วมกันกำหนดแนวทางในการผลักดันข้าวไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกได้ต่อไป
“ข้าวเป็นสินค้าเกษตรหลักที่มีผลต่อรายได้เกษตรกรและเศรษฐกิจของประเทศ หากการส่งออกมีปัญหา ย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งด้านพันธุ์ข้าว ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช และต้นทุนการผลิต ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ริเริ่ม “โครงการธงเขียว” เพื่อลดภาระต้นทุนของเกษตรกรไปแล้ว และเตรียมส่งเสริมการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกต่อไป”
ทั้งนี้ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน เตรียมออกมาตรการดูแลข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 โดยตั้งเป้าดึงผลผลิตข้าวเปลือกออกประมาณ 8.5 ล้านตัน ผ่านการจัดตลาดนัดข้าวเปลือก การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการจัดเก็บข้าวในยุ้งฉางของเกษตรกร เพื่อให้มีแรงซื้อในประเทศ
ส่วนกรมการค้าต่างประเทศ ได้มอบหมายให้ประสานกับทางการจีน เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวตามโควตาที่เหลืออีก 280,000 ตัน และเร่งขยายตลาดข้าวผ่านงาน China-ASEAN EXPO 2025 ณ เมืองหนานหนิง เดือน ก.ย.2568 และงาน China International Import Expo (CIIE) 2025 ที่นครเซี่ยงไฮ้ เดือน พ.ย.2568 รวมทั้งเน้นเจาะตลาดสำคัญอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย และบังกลาเทศ ซึ่งเป็นตลาดข้าวขาวและข้าวนึ่ง และฮ่องกง ซึ่งเป็นตลาดข้าวหอมมะลิศักยภาพ โดยเฉพาะฮ่องกงที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปี 2568 เป็นปีที่ท้าทายมาก เนื่องจากปริมาณข้าวในตลาดโลกสูง แต่ความต้องการลดลง เช่น อินโดนีเซียที่เคยนำเข้า 4 ล้านตันในปีก่อน คาดว่าอาจซื้อเพียงเล็กน้อยช่วงปลายปี และราคาข้าวก็ลดลงเหลือกิโลกรัมละ 10.50 บาท จากเดิม 19–20 บาท ส่งผลให้เกษตรกรได้รับผลกระทบโดยตรง
“คู่แข่งของเราพัฒนาเรื่องพันธุ์ข้าวได้ดีขึ้น ทำให้ความแตกต่างด้านคุณภาพลดลง หากราคาข้าวไทยแพงกว่า ก็มีแนวโน้มที่ผู้ซื้อจะเปลี่ยนไปซื้อจากประเทศอื่น ต้องเน้นการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น จีน และตะวันออกกลาง และต้องเร่งพัฒนาความหลากหลายของข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวนุ่ม ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในเอเชีย”นายชูเกียรติกล่าว
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ได้เสนอให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และอยู่ในระดับอ่อนค่าประมาณ 33–34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย เพราะหากค่าเงินบาทผันผวนจะกระทบต่อการตัดสินใจขายและซื้อของทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้า รวมทั้งเสนอให้เร่งเปิดตลาดข้าวในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งใช้ข้าวแข็งในการเลี้ยงแรงงานในแคมป์ และขอให้ผลักดันโควตาการส่งออกข้าวไปญี่ปุ่น รวมถึงผลักดันการส่งออกข้าวไปอิรัก ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพที่ไทยควรขยายปริมาณการขายเพิ่มขึ้น
กรมการค้าต่างประเทศ แจ้งว่า ในช่วงครึ่งปี 2568 (ม.ค.–มิ.ย.) ไทยส่งออกข้าวได้ 3.73 ล้านตัน มูลค่า 75,563 ล้านบาท ลดลง 27.29% และ 36.45% ตามลำดับ และคาดว่าทั้งปีจะส่งออกได้ 7.5 ล้านตัน โดยได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากปัจจัยสำคัญ อาทิ ปริมาณผลผลิตข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น อินเดียกลับมาส่งออกปริมาณมากและมีสต็อกข้าวในประเทศสูง และอินโดนีเซียลดการนำเข้า รวมทั้งเงินบาทแข็งค่า โดยชนิดข้าวที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ข้าวขาว คิดเป็น 47.19% ของปริมาณส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมา คือ ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง และข้าวหอมไทย มีตลาดสำคัญ ได้แก่ อิรัก สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ จีน และเซเนกัล
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง