
เงินเฟ้อ ก.ค.68 ลด 0.70% ลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน มีสาเหตุจากกลุ่มผักสด ผลไม้สด พลังงานปรับลดลงต่อเนื่อง ยันไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด แม้จะติดลบ แต่กำลังซื้อประชาชนยังมีอยู่ เผยก่อนหน้าเคยลบติดต่อกัน 6 เดือน และ 13 เดือนมาแล้ว ส่วนยอดรวม 7 เดือน เพิ่ม 0.21% คาด ส.ค.68 ยังลบต่อ ยังคงเป้าเงินเฟ้อทั้งปีเดิม 0-1% ค่ากลาง 0.5%
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย เดือน ก.ค.2568 เท่ากับ 100.15 เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค.2567 ซึ่งเท่ากับ 100.86 ลดลง 0.70% เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 นับจากเดือน เม.ย.2568 ที่ลดลง 0.22% พ.ค.2568 ลดลง 0.57% และ มิ.ย.2568 ลดลง 0.25% โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาสินค้าในกลุ่มผักสด ผลไม้สด และของใช้ส่วนบุคคล ประกอบกับราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานลดลง ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก และค่ากระแสไฟฟ้าตามมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก และรวมเงินเฟ้อ 7 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) เพิ่มขึ้น 0.21%
“เงินเฟ้อเดือน ก.ค.2568 ที่ลดลง มีสาเหตุหลัก ๆ มาจากราคาพลังงาน ทั้งเบนซิน ดีเซล และแก๊สโซฮอล์ที่ลดลง อย่างแก๊สโซฮอล์ ราคา ก.ค.ปีนี้ เทียบกับปีก่อนต่างกันถึง 6 บาท และยังมีค่าไฟฟ้าที่ลดลงจากมาตรการของรัฐ ราคาผักสด ที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้ว เจออากาศร้อน แล้ง ราคาสูง แต่ปีนี้ ฝนตก น้ำเยอะ ผลผลิตดี ราคาลง ส่วนผลไม้ เก็บตัวอย่างมา 32 รายการ ลดลงมากถึง 22 รายการ อีก 10 รายการไม่เปลี่ยนแปลง หรือถ้าขึ้นก็ขึ้นไม่มาก”
ทั้งนี้ สนค.มองว่า ยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด แม้เงินเฟ้อจะติดลบติดต่อกันมาแล้ว 4 เดือน เพราะเงินเฟ้อที่ติดลบ มาจากเรื่องพลังงาน ราคาผัก ผลไม้ เป็นหลัก ไม่ใช่มาจากประชาชนไม่มีกำลังซื้อ โดยกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ยังเพิ่มสูงขึ้น เงินเฟ้อฟื้นฐานก็สูงมาโดยตลอด ตั้งแต่ต้นปี 2568 ย้อนไปถึงปี 2567 และในอดีตที่ผ่านมา ก็เคยมีเงินเฟ้อติดลบติดต่อกันถึง 6 เดือน ช่วง ต.ค.2566-มี.ค.2567 แต่ก็ไม่ได้เกิดภาวะเงินฝืด รวมถึงช่วงโควิด-19 ในปี 2563 ก็เคยติดลบ 13 เดือนติดต่อกัน ตั้งแต่ มี.ค.2563-มี.ค.2564
สำหรับรายละเอียดเงินเฟ้อเดือน ก.ค.2568 ที่ลดลง 0.70% มาจากการลดลงของหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม 1.72% จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มพลังงาน (แก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน ค่ากระแสไฟฟ้า) ของใช้ส่วนบุคคล (ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว โฟมล้างหน้า น้ำยาระงับกลิ่นกาย แชมพู สบู่ถูตัว) สิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด (น้ำยารีดผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยาล้างห้องน้ำ) และเสื้อผ้า (เสื้อยืดบุรุษและสตรี เสื้อเชิ้ตบุรุษและสตรี กางเกงขายาวบุรุษ) ส่วนสินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น อาทิ ค่าเช่าบ้าน ค่าแต่งผมบุรุษและสตรี และค่าอาหารสัตว์เลี้ยง
ส่วนหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้น 0.84% จากการสูงขึ้นของกลุ่มอาหารสำเร็จรูป (ข้าวราดแกง กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว) กลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ (เนื้อสุกร ปลาทู ปลานิล) กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (กาแฟผงสำเร็จรูป กาแฟ (ร้อน/เย็น) น้ำอัดลม) กลุ่มเครื่องประกอบอาหาร (กะทิสำเร็จรูป มะพร้าว (ผลแห้ง/ขูด) น้ำพริกแกง น้ำมันพืช) และกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาล (ขนมหวาน ไอศกรีม น้ำตาลมะพร้าว) แต่ก็มีสินค้าที่ราคาลดลง โดยเฉพาะไข่ไก่ ผลไม้สด (ทุเรียน ส้มเขียวหวาน เงาะ มะม่วง มังคุด) ผักสด (กะหล่ำปลี มะเขือ ขิง ฟักทอง มะนาว แตงกวา ฟักเขียว ต้นหอม) และอาหารโทรสั่ง (Delivery)
ทางด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่หักอาหารสดและพลังงานออก เพิ่มขึ้น 0.84% ชะลอลงจากเดือน มิ.ย.2568 ที่เพิ่มขึ้น 1.06% รวม 7 เดือน เพิ่มขึ้น 0.95%
นายพูนพงษ์กล่าวว่า แนวโน้มเงินเฟ้อเดือน ส.ค.2568 คาดว่าจะอยู่ระดับต่ำเช่นเดียวกับเดือน ก.ค.2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกต่ำกว่าปีก่อนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างอ่อนแอ และความตึงเครียดจากความขัดแย้งของประเทศผู้ผลิตน้ำมันอยู่ในระดับจำกัด ภาครัฐยังคงดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่า Ft งวดเดือน พ.ค.-ส.ค.2568 ลง 17 สตางค์ ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าลดลงเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย ราคาผักสดและผลไม้สดอยู่ระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้าค่อนข้างมาก จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ระบบมากขึ้น และค่าบริการด้านการท่องเที่ยวปรับตัวลดลง ตามสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวต่าง ๆ ประกอบกับผู้ประกอบการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อตอบรับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยกดดันเงินเฟ้อ จากราคาสินค้าเกษตรบางชนิดและเครื่องประกอบอาหารมีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนหน้า เช่น เนื้อสุกร มะพร้าว มะขามเปียก กาแฟ เกลือป่น และน้ำมันพืช เป็นต้น อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อประเทศคู่ค้าต่าง ๆ มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเป็นอัตราที่ต่ำกว่าครั้งก่อนหน้า ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกทยอยปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้น โดยยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2568 อยู่ระหว่าง 0.0–1.0% ค่ากลาง 0.5% และเมื่อจบไตรมาส 3 จะขอดูตัวเลขอีกครั้งว่าจะทบทวนเป้าเงินเฟ้อหรือไม่
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง