“วรวงศ์” เรียกร้อง ธปท. กดบาทอ่อน ช่วยผู้ส่งออกสู้ภาษีทรัมป์ เริ่มดีเดย์ 7 ส.ค.นี้

img

“วรวงศ์” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เรียกร้อง ธปท. ผ่อนคลายนโยยายการเงิน กดเงินบาทอ่อนช่วยผู้ส่งออกสู้ภาษีทรัมป์อัตรา 19% ที่จะเริ่มบังคับใช้ 7 ส.ค.นี้ เหตุมาตรการเยียวยาของรัฐบาล ทั้งเงินกู้ การหาตลาดใหม่ ช่วยได้เพียงส่วนหนึ่ง ต้องได้ยาแรงมาซ้ำ
         
นายวรวงศ์ รามางกูร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 7 ส.ค.2568 ภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ อัตราใหม่ 19% จะมีผลบังคับใช้เป็นวันแรก แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีสัญญาณจากผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีมาตรการใดช่วยผู้ส่งออก จึงขอทวงคำสัญญา “พร้อมขับเคลื่อน ธปท. เชิงรุก เปิดใจชูจุดยืนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย” โดยขอได้โปรดอย่าลอยตัวเหนือปัญหา เนื่องจาก ธปท. ในฐานะผู้กำหนดนโยบายการเงิน มีหน้าที่สำคัญในการลดผลกระทบผู้ประกอบการและลดทอนความเสียหายต่อประชาชน จึงควรพิจารณามาตรการเชิงรุกเพื่อรักษาเสถียรภาพและการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
         
“ในสถานการณ์ที่ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ การไม่ขยับนโยบายการเงินเลย อาจสะท้อนความเฉื่อยชาทางนโยบายมากกว่าความเป็นอิสระของธนาคารกลาง”นายวรวงศ์กล่าว
         
นายวรวงศ์กล่าวว่า ไทยได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีศุลกากรครั้งนี้ เป็นจำนวนมาก และเป็นวงกว้างครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ มีสัดส่วนถึง 18% ของการส่งออกทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 ล้านล้านบาท โดยปัญหาที่จะเกิดขึ้นในระยะใกล้ คือ อุปสงค์ภายในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาสินค้าปรับสูงขึ้น เนื่องจากมีภาษีศุลกากรช่วยกั้นสินค้านำเข้าไว้ ซึ่งตรงตามจุดประสงค์การขึ้นอัตราภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อช่วยผู้ประกอบการและเกษตรกรภายในประเทศให้มีพื้นที่เพียงพอสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้ มีการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น เป็นการเอาใจฐานเสียงของตนเอง แต่ฟากประเทศผู้ส่งออกราคาสินค้าส่งออกจะปรับตัวลดลง
         


ทั้งนี้ จากงานศึกษาวิจัยหลายชิ้น บ่งชี้ว่า ผู้ส่งออกจะรับเอาภาษีไว้มากกว่าผู้บริโภค ดังนั้น เท่ากับว่าประเทศผู้ส่งออกสินค้า เป็นผู้แบกรับต้นทุนภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นมากกว่าประเทศปลายทาง ต้นทุนเหล่านี้ จะถูกส่งต่อมายังผู้ผลิต ทำให้ราคาผู้ผลิตตกต่ำลงอย่างหนัก
         
โดยที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือ เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft loans) งบประมาณสนับสนุน SME และเกษตรกร รวมถึงการช่วยผู้ประกอบการขยายตลาดใหม่ เป็นต้น ซึ่งสามารถเยียวยาผลกระทบได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

“ตามทฤษฎี เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่สามารถช่วยเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ได้ คือ การแทรกแซงค่าเงิน (Exchange rate intervention) โดยนำเงินบาทซื้อดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้ค่าเงินอ่อนค่าลง จุดประสงค์คือการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ ป้องกันความผันผวนระยะสั้น พยุงจีดีพีให้สามารถเติบโตได้ตามเดิม ไม่ใช่เพื่อเอื้อการส่งออกโดยตรง จึงไม่ผิดกติการะหว่างประเทศ นอกจากนั้นการลดค่าเงิน ยังช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจอื่น ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ปัญหาค่าแรงต่ำ หนี้ภาคครัวเรือนสูง”นายวรวงศ์กล่าว

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง