
กรมการค้าต่างประเทศเผยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในการส่งออกสินค้าช่วง 2 เดือน ปี 68 มีมูลค่า 15,086.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 24.11% มีสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 81.36% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ อาเซียนนำโด่ง ตามด้วยอาเซียน-จีน อาเซียน-อินเดีย ไทย-ญี่ปุ่น และไทย-ออสเตรเลีย จับตาใช้สิทธิ์ FTA อาเซียน-อินเดีย เดือน ก.พ. เดือนเดียวพุ่งกระฉูด คาดหลังอัปเกรด FTA ไทย-อินเดีย สำเร็จ จะทำให้การใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นอีกมากแน่
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายในความตกลงการค้าเสรี (FTA) ช่วง 2 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ก.พ.) มีมูลค่า 15,086.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 24.11% คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 81.36% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ โดยเป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่า 5,303.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ์ 68.50% รองลงมา คือ ความตกลงอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 3,163.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 90.66% ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 3,206.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 89.97% ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 1,027.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 75.93% และการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 894.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 58.16%
ส่วนสินค้า 5 อันดับแรกที่มีการใช้สิทธิ์ FTA ส่งออกมาที่สุด ได้แก่ 1.แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง มูลค่า 1,513.63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2.ยานยนต์สำหรับขนส่งของอื่น ๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน มูลค่า 999.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 3.แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ มูลค่า 697.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 4.ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มูลค่า 602.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 5.น้ำตาลที่ได้จากอ้อยอื่น ๆ มูลค่า 372.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า เดือน ก.พ.2568 มี FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก คือ อาเซียน-อินเดีย มีมูลค่าการส่งออกที่ใช้สิทธิ์ FTA เดือนเดียวถึง 1,737.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 53,855.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 300% เป็นผลมาจากมีการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูงไปยังอินเดีย ได้แก่ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูปหรือเป็นผง และเครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณ ส่งผลให้ตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าในภาพรวมเพิ่มขึ้นด้วย
โดยการส่งออกไปอินเดีย นอกจาก FTA อาเซียน-อินเดียแล้ว ไทยยังมีความตกลง FTA ไทย-อินเดีย ซึ่งในช่วงม.ค.-ก.พ.2568 มีมูลค่าการใช้สิทธิ์ 76.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2,385.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.94% สัดส่วนใช้สิทธิ์ 35.61% ซึ่งภายใต้ FTA ไทย-อินเดีย ไม่ได้ลดภาษีให้สินค้าไทยมากนัก ส่งผลให้อัตราการใช้สิทธิ์ไม่สูงมาก แต่ขณะนี้ไทยและอินเดียอยู่ระหว่างการดำเนินการเจรจาปรับปรุงความตกลงที่คาดว่าจะครอบคลุมสินค้าจำนวนมากขึ้น รวมถึงการค้าบริการและการลงทุน โดยหากการเจรจาแล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าให้ไทยมากขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะตลาดอินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงด้วยจำนวนประชากรที่มีมากกว่า 1.4 พันล้านคน มีกลุ่มชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อ และแนวโน้มเศรษฐกิจอินเดียที่เติบโตต่อเนี่อง มีความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศ
นางอารดากล่าวว่า เดือน เม.ย.2568 ที่ผ่านมา กรมได้เชิญภาคเอกชนผู้มีประสบการณ์ในการส่งออกโดยใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจาก FTA แลกเปลี่ยนความเห็นถึงโอกาสและความท้าทายจากสถานการณ์ทางการค้าโลกจากผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ภายใต้หัวข้อแนวทางรับมือสำหรับผู้ประกอบการ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี ภายใต้โครงการส่งเสริม SME ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล เรื่อง “FTA ขยายธุรกิจ พิชิตส่งออก” ที่ จ.นครพนม โดยทุกคนเห็นร่วมกันว่า FTA เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะสร้างแต้มต่อในการส่งออก ช่วยลดภาษีนำเข้า ลดต้นทุนทางการค้า ทำให้สินค้าส่งออกจากไทยน่าดึงดูด เมื่อเทียบกับสินค้าจากประเทศอื่นที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก FTA
นอกจากนี้ ยังเห็นตรงกันว่า การที่ภาครัฐได้เจรจาจัดทำ FTA ฉบับใหม่ ๆ กับประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นไทย-ศรีลังกา ไทย-สมาคมการค้าเสรียุโรป หรือเอฟตา ไทย-ภูฏาน จะช่วยขยายตลาดการส่งออกใหม่ ๆ และลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในการส่งออกได้ ส่วนการผลักดันให้ผู้ประกอบการใช้สิทธิ์ FTA ในการส่งออก กรมมีแผนการจัดสัมมนา เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการทั่วประเทศต่อเนื่องทั้ง จ.นครราชสีมา บุรีรัมย์ ลำพูน และหนองคายต่อไป
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง