“พาณิชย์”เผยหลายธุรกิจบริการ มีโอกาสทำเงิน รับเทรนด์ Digital Nomad เติบโต

img

สนค.เผยเทรนด์ Digital Nomad หรือบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตทำงานผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้บนโลก และมีไลฟ์สไตล์ชอบการเดินทางและใช้ชีวิตในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ชี้เป็นโอกาสของผู้ประกอบการธุรกิจบริการของไทย ทั้งที่พัก ร้านอาหาร เช่ารถ กลุ่มทัวร์ อินเทอร์เน็ต ค้าปลีก บันเทิง การแพทย์ ที่จะทำเงินจากคนกลุ่มนี้    
         
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เทรนด์ Digital Nomad หรือบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตทำงานผ่านช่องทางออนไลน์ สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้บนโลก เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์รองรับ ตลอดจนมีไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบการเดินทางและใช้ชีวิตในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก กำลังได้รับความนิยมและเติบโต และพบว่าประเทศไทยจะได้อานิสงส์ในการสร้างรายได้จากธุรกิจบริการหลากหลายสาขา เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้
         
ทั้งนี้ ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีจำนวน Digital Nomad ทั่วโลกประมาณ 40 ล้านคน และคาดว่า จะเติบโตเป็น 60 ล้านคน ในปี 2573 ซึ่ง Digital Nomad ที่เดินทางมาประเทศไทยในปี 2567 คาดว่ามีจำนวนประมาณ 1.75 ล้านคน โดย Digital Nomad ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านไอที การตลาด หรือ E-Commerce และเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว จึงมีส่วนช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของไทย และกลุ่ม Digital Nomad ยังมีลักษณะพิเศษกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป ตรงที่มีระยะเวลาพำนักในไทยเฉลี่ยสูงกว่า 6 เดือน ส่งผลให้มีการใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวโดยทั่วไปที่ร้อยละ 56 อีกทั้งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีฤดูกาลท่องเที่ยวที่ชัดเจนแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป กล่าวคือ สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

นอกจากนี้ จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่า กลุ่ม Digital Nomad ในไทย มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 65,034 บาท ต่อคน แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อาทิ อาหาร การเดินทาง และกิจกรรม 33,310 บาท ต่อคน และค่าใช้จ่ายสำหรับที่พัก 31,724 บาท ต่อคน และกลุ่ม Digital Nomad ยังนิยมเลือกใช้สถานที่ในการทำงานที่ยืดหยุ่น หรือใช้บริการพื้นที่ทำงานร่วมกันหรือ Co-working Space
         


นายพูนพงษ์กล่าวว่า ภาคบริการไทยที่จะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากกลุ่ม Digital Nomad จากรายงานของศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ได้แก่ 1.ธุรกิจที่พักแรม และร้านอาหาร โดยค่าใช้จ่ายด้านที่พักและอาหารมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 90 ของค่าใช้จ่ายโดยรวมของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันระยะยาว ซึ่งครอบคลุมธุรกิจหลายด้าน เช่น ธุรกิจที่พักรายเดือน ร้านอาหาร คาเฟ่ และ Co-working Space 2.ธุรกิจบริการเช่ารถจักรยานยนต์ เนื่องจากเป็นหนึ่งในวิธีการเดินทางหลักที่กลุ่ม Digital Nomad เลือกใช้ 3.ธุรกิจเกี่ยวกับการสร้างการรวมกลุ่ม เช่น การจัดกลุ่มทัวร์ทำกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ดำน้ำ มวยไทย ซึ่งเป็นที่นิยมของกลุ่ม Digital Nomad ที่มักจะเดินทางตามลำพัง และต้องการเข้าสังคมกับ Digital Nomad คนอื่น และ 4.ธุรกิจโทรคมนาคม เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในการทำงาน และยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจสถานบันเทิง และธุรกิจการแพทย์
         
“ไทยมีภาคการท่องเที่ยวที่โดดเด่น ปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามารวม 35.54 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.27% และสร้างรายได้ 1.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% และยังมีศักยภาพในธุรกิจบริการ ที่ดึงดูดกลุ่ม Digital Nomad มีโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่ง และมีมาตรการดึงดูดการท่องเที่ยว และค่าครองชีพที่ได้เปรียบ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ จึงได้ดำเนินการเพิ่มศักยภาพและพัฒนาทักษะทางธุรกิจของผู้ประกอบการของไทย เพื่อตอบโจทย์การเข้ามาพำนักระยะยาวของกลุ่ม Digital Nomad”นายพูนพงษ์กล่าว
         
สำหรับการดำเนินการที่ผ่านมา อาทิ กรมทรัพย์สินทางปัญญา และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สนับสนุนการจัดแสดงผลงานของผู้ประกอบการด้าน Soft Power และกิจกรรมส่งเสริมทรัพย์สินทางปัญญาและภูมิปัญญาที่สะท้อนเอกลักษณ์และเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าไทยในสายตาชาวโลก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพิ่มโอกาสการเข้าถึงองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ และการตลาด โดยมีโครงการ DBD Academy ซึ่งเป็นช่องทางการเรียนรู้ทางออนไลน์ (e-Learning) ที่มีหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ให้บริการกลุ่ม Digital Nomad เช่น หลักสูตรการตลาดยุคดิจิทัล หลักสูตรการบริหารจัดการธุรกิจโฮมสเตย์ หลักสูตรเส้นทางสู่ความสำเร็จธุรกิจร้านอาหาร และโครงการพัฒนาค้าปลีกชุมชนด้วยเทคโนโลยี โดยร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อช่วยผู้ประกอบการชุมชนในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจค้าปลีกชุมชน และอำนวยความสะดวกกลุ่ม Digital Nomad ในการจับจ่ายใช้สอยเมื่อเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
         


นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะถึงภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถสนับสนุนธุรกิจบริการต่าง ๆ ของไทย เพื่อสอดรับกับการใช้บริการของกลุ่ม Digital Nomad อาทิ การอบรมส่งเสริมทักษะด้านภาษาและทักษะที่จำเป็นของผู้ประกอบการในการรองรับกลุ่ม Digital Nomad การอบรมผู้ประกอบการในการนำเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตอย่างครอบคลุม การพัฒนาแหล่งชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวให้พร้อมสำหรับการรองรับกลุ่ม Digital Nomad และการประชาสัมพันธ์ Soft Power ของไทยเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์และเสน่ห์ของไทยที่จะทำให้ชาวต่างชาติกลุ่ม Digital Nomad ประทับใจ และเพิ่มความต้องการและระยะเวลาในการพำนักและใช้จ่ายในไทยให้ยาวนานขึ้น
         
ส่วนต่างประเทศที่มีมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad พบว่า อินโดนีเซียและโปรตุเกส มีหมู่บ้านที่รองรับรับกลุ่ม Digital Nomad (Digital Nomad Village) โดยเฉพาะ โดยจุดเด่นของหมู่บ้านเหล่านี้ จะมีบริการ Co-working Space พร้อมบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อุปกรณ์ครบครัน และอาหารและเครื่องดื่ม ในสภาพแวดล้อมที่มีบรรยากาศผ่อนคลาย สวยงาม เช่น อยู่ในพื้นที่ใกล้ชายหาด ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถสัมผัสธรรมชาติระหว่างการทำงาน และสามารถทำกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ ได้ เช่น การโต้คลื่น โยคะ ตลอดจนมีบริการทัวร์เชิงวัฒนธรรม เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้เรียนรู้วิถีชีวิตและประเพณีท้องถิ่น
 

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง