![img](/uploads/2025/02/67aae27a9dee4.jpg)
“พิชัย”สรุปผลการเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐฯ เผยได้พบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง สส. สว. หลายคน ย้ำสถานะไทยเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ชูจุดแข็งที่เอื้อต่อการค้า การลงทุน ขอให้ช่วยสนับสนุนไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ และสนับสนุนด้านนโยบาย เพื่อรักษาสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน พร้อมเชิญชวนเอกชนสหรัฐฯ เพิ่มการลงทุนในไทยด้วย
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการนำคณะผู้แทนไทยเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 4-8 ก.พ.2568 ว่า ได้เข้าร่วมงาน National Prayer Breakfast 2025 ที่มีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นประธาน ในการกล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน และได้ใช้โอกาสในการสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนนโยบายด้านเศรษฐกิจกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ สมาชิกสภาคองเกรส อาทิ สส. Robert Aderholt , สส. Tracey Mann , สว. Mike Lee , สว. Tammy Duckworth และ สว. Pete Ricketts แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์วุฒิสภา และ สส. Adrian Smith ประธานคณะอนุกรรมการด้านการค้าภายใต้คณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ เพื่อย้ำสถานะของไทยในฐานะพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก
ทั้งนี้ ไทยได้ชูจุดแข็งของไทยที่เอื้อต่อการค้า การลงทุน อาทิ ความสำเร็จล่าสุดในการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-เอฟตา และที่ยังอยู่ระหว่างเจรจากับหลายประเทศ อาทิ สหภาพยุโรป สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ และแคนาดา ซึ่งจะช่วยเป็นแต้มต่อเพิ่มขีดความสามารถของไทยในตลาดโลกได้อย่างมากในอนาคต รวมไปถึงไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรม Data Center และ AI ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น Google Microsoft และ Amazon เข้ามาลงทุนต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ได้ผลักดันให้สหรัฐฯ สนับสนุนให้ไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของอเมริกา ทั้งในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และ PCB รวมถึงภาคความมั่นคง เช่น การเป็นศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพในภูมิภาค และขอแรงสนับสนุนจากระดับนโยบายของสหรัฐฯ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน
นายพิชัยกล่าวว่า ตนยังได้หารือกับภาคเอกชนสหรัฐฯ ผ่านสภาหอการค้าสหรัฐฯ (USCC) และสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐฯ (USABC) ซึ่งมีบริษัทชั้นนำเข้าร่วมกว่า 26 บริษัท ได้แก่ Nasdaq, FedEx, The Asia Group, PepsiCo, IBM, Mars, Citi, Organin, Intel, Vriens & Partners, ConocoPhillips, Caterpillar, Seagate, Tyson Food, Apple, DGA-Albright, Stonebridge Group, BowerGroupAsia, S&P Global, Visa, Boeing, Dow, Cargill, 3M และ Viatris ที่ได้มาเข้าร่วม
“ได้ยืนยันกับภาคเอกชนสหรัฐฯ ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสการค้าการลงทุน สนับสนุนให้นักลงทุนจากทั่วโลก ให้มาตั้งการผลิตในไทย ทำให้ปี 2567 ที่ผ่านมา มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนปี 2567 กว่า 1.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี และการส่งออกโตปี 2567 โตถึง 5.4% มูลค่ากว่า 10.5 ล้านล้านบาท อีกทั้งยังมีข้อตกลง Treaty of Amity ที่ให้สิทธิพิเศษแก่ธุรกิจสหรัฐฯ สามารถถือหุ้น 100% ในไทย ซึ่งเป็นสิทธิที่ไทยไม่เคยให้ประเทศอื่น และได้ใช้โอกาสนี้เชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเติม ทั้งเวชภัณฑ์ พลังงาน ดิจิทัล และเกษตรอาหาร โดยกระทรวงพาณิชย์ พร้อมให้การสนับสนุนในด้านนโยบายและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ และพร้อมช่วยอำนวยความสะดวกและแก้ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่”นายพิชัยกล่าว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง