“นภินทร” ประชุมร่วม 20 หน่วยงาน กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มงวด ใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด บูรณาการความร่วมมือ และออกมาตรการเพิ่มเติมให้สอดรับกับการค้าในปัจจุบัน เพื่อสกัดสินค้านำเข้าที่ไม่มีคุณภาพ จนกระทบ SME และผู้บริโภค พร้อมลุยอบรม พัฒนา สนับสนุนเครื่องมือ เสริมแกร่ง SME ตั้งเป้าระยะสั้นเห็นผลใน 3 เดือน
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทยและแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมกับ 20 หน่วยงาน เพื่อขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาสินค้านำเข้าไม่มีคุณภาพมาตรฐานและธุรกิจจากต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย 5 มาตรการหลัก (63 แผนปฏิบัติการ) ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติรับทราบไปแล้ว โดยในด้านการป้องกัน กำกับดูแล ได้มีการวางแผนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าอุตสาหกรรม จากต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย ทำให้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและราคาถูกเข้ามาแข่งขันในประเทศจำนวนมาก โดยได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้มาตรการด้านกฎหมายอย่างเคร่งครัด เน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพทันท่วงที รวมทั้งออกมาตรการเพิ่มเติมให้รองรับกับสภาพปัญหาและรูปแบบการค้าที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ส่วนเรื่องการส่งเสริม พัฒนา และต่อยอด มีเป้าหมายสำคัญ คือ การเพิ่มสัดส่วน SME ต่อ GDP จาก 35.2% ในปี 2566 เป็น 40% ภายในปี 2570 ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ในคณะอนุกรรมการฯ ได้วางแผนจัดกิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ งานแสดงสินค้า งานมหกรรมต่าง ๆ การสนับสนุนทุน และเครื่องมือในการทำธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ SME ตลอดจนผลักดันผู้ประกอบการในการจำหน่ายสินค้าไปยังต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์ม การเจรจาจับคู่ธุรกิจ และการออกนิทรรศการในต่างประเทศ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายดังกล่าว
“การประชุมหารือในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการคุ้มครองประโยชน์ของผู้บริโภค โดยร่วมกันแก้ไขปัญหาสินค้าไร้คุณภาพจากต่างประเทศ ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและ SME ของไทยเป็นอย่างมาก และคาดหวังว่าการวางกรอบการดำเนินงาน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน โดยลดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากสินค้าราคาถูกและคุณภาพต่ำ ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการทำตลาดของผู้ประกอบการไทย อีกทั้งการควบคุมคุณภาพสินค้านำเข้าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ช่วยให้สินค้าจาก SME ไทยได้รับความไว้วางใจ และมีโอกาสในการขยายตลาดในประเทศได้มากขึ้น และยังเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันทั้งในประเทศและขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของ SME ไทยในระยะยาว”นายนภินทรกล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้กำหนดกรอบระยะเวลาการทำงานของแผนงานต่าง ๆ โดยแบ่งการทำงานเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1.ระยะสั้นเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้เห็นผลภายในระยะเวลา 3 เดือน 2.ระยะกลาง เพื่อสร้างความคุ้มครองผู้บริโภค และสร้างความเข้มแข็งให้กับ SME ไทย 3.ระยะยาว เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภคอย่างยั่งยืน และขยายตลาดสินค้า สร้างความยั่งยืนให้กับ SME ไทย พร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาสินค้าไร้คุณภาพ และการประกอบธุรกิจ โดยคาดว่ามีระยะเวลาดำเนินการเกิน 1 ปี
สำหรับ 20 หน่วยงานที่เข้าร่วมการประชุม ได้แก่ 1.กรมสรรพากร 2.กรมศุลกากร 3.กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 4.สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา 5.สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค 6.สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ 7.สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ 8.สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) 9.สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 10.สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล 11.สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 12.กรมพัฒนาธุรกิจการค้า 13.กรมทรัพย์สินทางปัญญา 14.กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 15.กรมการค้าต่างประเทศ 16.กรมการค้าภายใน 17.กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ 18.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า 19.สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) 20.สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน)
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง