​ผักผลไม้ อาหารขยับ ดันเงินเฟ้อ ส.ค.เพิ่ม 0.35% บวก 5 เดือนติด รวม 8 เดือน โต 0.15%

img

“พาณิชย์”เผยเงินเฟ้อ เดือน ส.ค.67 เพิ่มขึ้น 0.35% สูงขึ้นในอัตราชะลอตัวลง แต่ยังบวกต่อเนื่อง 5 เดือนติด  เหตุได้รับผลกระทบจากราคาผักสด ผลไม้สด ที่สูงขึ้นจากเจอฝนและน้ำท่วม ข้าวสาร ข้าวเหนียว อาหารขยับขึ้น ส่วนพลังงาน ไฟฟ้าลดลง รวม 8 เดือน เพิ่ม 0.15% คาด ก.ย. ยังเพิ่ม แจกดิจิทัล วอลเล็ต เป็นเงินสด ไม่กระทบราคาสินค้า มีแต่เพิ่มกำลังซื้อ ทั้งปีคงเป้าเดิม 0-1% ค่ากลาง 0.5% 
        
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือน ส.ค.2567 เท่ากับ 108.79 เทียบกับ ก.ค.2567 เพิ่มขึ้น 0.07% เทียบกับเดือน ส.ค.2566 เพิ่มขึ้น 0.35% เป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 แต่สูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการสูงขึ้นของสินค้ากลุ่มอาหาร โดยเฉพาะผักสดและผลไม้สด เนื่องจากสถานการณ์ฝนตกหนักและอุทกภัยในบางพื้นที่เพาะปลูก ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลง รวมถึงข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว และอาหารสำเร็จรูป อาทิ กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง และอาหารตามสั่ง ราคาปรับสูงขึ้น แต่สินค้ากลุ่มพลังงาน อาทิ แก๊สโซฮอล์ ค่ากระแสไฟฟ้า ราคาปรับลดลง สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก และหากรวมเงินเฟ้อ 8 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ส.ค.) เพิ่มขึ้น 0.15%

สำหรับรายละเอียดเงินเฟ้อเดือน ส.ค.2567 ที่สูงขึ้น 0.35% มาจากการสูงขึ้นของหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1.83% โดยสินค้าสำคัญที่สูงขึ้น กลุ่มอาหารสด อาทิ ผักสด (มะเขือ พริกสด แตงกวา ผักกาดขาว มะนาว ผักบุ้ง กะหล่ำปลี) ผลไม้สด (เงาะ มะม่วง กล้วยน้ำว้า ฝรั่ง) ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว นมสด และไข่ไก่ กลุ่มอาหารสำเร็จรูป (กับข้าวสำเร็จรูป อาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง) อาหารตามสั่ง อาหารเช้า) กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำหวาน) และกลุ่มเครื่องประกอบอาหาร (น้ำตาลทราย กะทิสำเร็จรูป) ขณะที่ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ เนื้อสุกร ส้มเขียวหวาน ปลาทู น้ำมันพืช และไก่ย่าง เป็นต้น

ส่วนหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 0.68% จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน (แก๊สโซฮอล์ ค่ากระแสไฟฟ้า) กลุ่มสิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด (ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างห้องน้ำ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า (น้ำยาซักแห้ง) น้ำยาล้างจาน) กลุ่มค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (แชมพู สบู่ถูตัว ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว ครีมนวดผม) และกลุ่มเสื้อผ้า (เสื้อยืดบุรุษและสตรี กางเกงขายาวบุรุษ เสื้อเชิ้ตบุรุษและสตรี) อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาสูงขึ้น อาทิ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน ค่าเช่าบ้าน ค่ารถรับส่งนักเรียน ค่าแต่งผมบุรุษและสตรี และเครื่องถวายพระ เป็นต้น   



ทางด้านเงินเฟ้อพื้นฐาน เดือน ส.ค.2567 เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก เพิ่มขึ้น 0.12% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค.2567 และเพิ่มขึ้น 0.62% เมื่อเทียบกับเดือน ส.ค.2566 เฉลี่ย 8 เดือน ปี 2567 (ม.ค.-ส.ค.) เพิ่มขึ้น 0.44%
         
นายพูนพงษ์กล่าวว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ก.ย.2567 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากเดือน ส.ค.2567 โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น มาจากราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศที่กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลกระทบจากอุทกภัยทำให้ราคาผักสดและผลไม้สดปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากแหล่งเพาะปลูกในบางพื้นที่ได้รับความเสียหาย แต่คาดว่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้น และสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจจะส่งผลกระทบให้เกิดความไม่แน่นอนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ รวมถึงต้นทุนค่าขนส่งทางเรือปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนเงินเฟ้อไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5% มีสาเหตุจากราคาน้ำมันเป็นหลัก เพราะช่วงเดียวกันของปีก่อน รัฐบาลตรึงดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ขณะนี้ 33 บาทต่อลิตร ที่จะส่งผลชัดเจน ขณะที่การแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต กลุ่มเปราะบางเป็นเงินสด ไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและเงินเฟ้อ แต่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อมากกว่า  

ส่วนปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง มาจากค่ากระแสไฟฟ้าภาคครัวเรือนอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้าตามมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ ฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกในปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับสูง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบดูไบในปัจจุบันมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ หรืออาจจะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะขยายตัวระดับต่ำ และการลดราคาสินค้าและการแข่งขันในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการค้าส่งค้าปลีกในประเทศ และการค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ทำให้สินค้าจำนวนมากปรับลดราคาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 อยู่ระหว่าง 0.0–1.0% ค่ากลาง 0.5% ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการทบทวนอีกครั้ง

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง