“พาณิชย์”ติดตามข้อมูลอัตราเงินเฟ้อประเทศในอาเซียน ช่วงครึ่งปี 2567 พบบรูไน เงินเฟ้อติดลบ ต่ำสุดเป็นอันดับหนึ่ง ไทยรองแชมป์ ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนอีก 8 ประเทศ เพิ่มขึ้นหมด โดย สปป.ลาว เพิ่มขึ้นสูงสุด
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้มีการติดตามข้อมูลอัตราเงินเฟ้อของประเทศในกลุ่มอาเซียน ในช่วง 6 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.) เพื่อสะท้อนให้เห็นภาพเศรษฐกิจโดยรวมของแต่ละประเทศ เนื่องจากเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย และเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในภูมิภาค ตลอดจนรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดอาเซียน
ทั้งนี้ ผลการติดตาม พบว่า ประเทศในอาเซียนที่มีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 6 เดือนของปี 2567 ต่ำที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ บรูไน ติดลบ 0.26% อันดับ 2 คือ ไทย โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง และอันดับ 3–9 ได้แก่ กัมพูชา เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.26% มาเลเซีย เพิ่ม 1.81% อินโดนีเซีย เพิ่ม 2.79% สิงคโปร์ เพิ่ม 2.87% ฟิลิปปินส์ เพิ่ม 3.55% เวียดนาม เพิ่ม 4.08% และสปป.ลาว เพิ่ม 25.29% ตามลำดับ
สำหรับบรูไน ที่เงินเฟ้อต่ำสุดในอาเซียน เนื่องจากการลดลงของราคาสินค้าและบริการด้านที่อยู่อาศัยและสาธารณูปโภค อาทิ ไฟฟ้า น้ำ ก๊าซ และการขนส่ง ซึ่งมีสัดส่วนน้ำหนักค่อนข้างสูงในตะกร้าสินค้าที่ใช้คำนวณอัตราเงินเฟ้อ และบรูไนยังเป็นประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและรายได้ของรัฐบาล แต่ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการดำเนินนโยบายทางการเงินและมาตรการควบคุมราคาสินค้า จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ โดยธนาคารกลางบรูไน (BDCB) ได้คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2567 จะอยู่ในช่วงติดลบ 0.5% ถึงเพิ่ม 0.5%
ส่วนประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดในอาเซียน คือ สปป.ลาว เพราะมีฐานการผลิตภายในประเทศที่ยังไม่แข็งแกร่งมากนัก จึงต้องอาศัยการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเป็นหลัก ประกอบกับหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง และปัญหาเงินกีบที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย โดยจากข้อมูลล่าสุดในเดือน มิ.ย.2567 พบว่า อัตราเงินเฟ้อของลาวแตะจุดสูงสุดในรอบปี 2567 ที่ 26.15%
นอกจากนี้ เวียดนาม เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน อยู่ที่ 4.08% แต่ยังคงมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม ระบุว่า GDP เวียดนามขยายตัวที่ 6.42% ในช่วง 6 เดือนของ ปี 2567 จากการเติบโตของภาคการผลิตและการส่งออก ซึ่งหากมองเศรษฐกิจของเวียดนามในภาพรวม ถือว่าค่อนข้างโดดเด่นในกลุ่มอาเซียนจาก GDP ที่เติบโตสูง และอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของรัฐบาลที่ 4.0-4.5%
ขณะที่ประเทศที่มีความโดดเด่นทางเศรษฐกิจ คือ มาเลเซีย มีอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 6 เดือนของปี 2567 สูงขึ้น 1.81% โดยมาเลเซียเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยในอาเซียน ถึงแม้เงินเฟ้อของมาเลเซียจะยังไม่เข้ากรอบประมาณการของธนาคารกลางที่อยู่ในช่วง 2.0–3.5% แต่มีความใกล้เคียงและเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจจาก GDP ในไตรมาส 2 ปี 2567 ที่ขยายตัวถึง 5.9%
ทางด้านไทย ดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ย 6 เดือนของปี 2567 ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอยู่ในระดับต่ำเป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน โดยมีสาเหตุสำคัญจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และราคาอาหารสด โดยเฉพาะเนื้อสุกรที่อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับราคาค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำมันดีเซลต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2567 อยู่ระหว่างร้อยละ 0.0–1.0% ซึ่งใกล้เคียงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ได้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของไทยในปี 2567 ที่ 0.7%
“อัตราเงินเฟ้อของแต่ละประเทศในอาเซียนมีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจ การบริโภคภายในประเทศ รวมถึงนโยบายทางการเงินและความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเมื่อได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ แม้อัตราเงินเฟ้อของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน แต่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป เนื่องจากยังมีปัจจัยที่อาจส่งผลต่อเงินเฟ้อในอนาคต ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า ภัยธรรมชาติ และมาตรการของภาครัฐ โดยไทยยังมีปัจจัยอื่นที่หนุนภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งด้านการท่องเที่ยวและการลงทุนของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงต้องเดินหน้าผลักดันปัจจัยดังกล่าวต่อไป”นายพูนพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ จะดำเนินงานในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ทั้งการร่วมมือกับภาคเอกชนในการกำกับดูแลราคาสินค้าให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยยึดหลักสร้างสมดุลให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อภาคธุรกิจและประชาชน การขยายโอกาสให้กับผู้ประกอบธุรกิจ SME รวมทั้งการรักษาตลาดเดิมเพิ่มตลาดใหม่ เพื่อผลักดันภาคการส่งออกของไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจการค้าของไทย และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง