
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า “นางศุภจี สุธรรมพันธุ์” จะมาเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” ในรัฐบาล “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย
“ฝีไม้ลายมือ” ของนางศุภจี ไม่ต้องพูดถึง เป็นที่ “ยอมรับ” ในแวดวงธุรกิจเป็นอย่างมาก มีประสบการณ์ทำงานในบริษัทระดับโลกอย่าง IBM โดยเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ขององค์กร และเป็นคนเอเชียคนแรกที่ได้ตำแหน่งผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารที่สำนักงานใหญ่ IBM ในสหรัฐฯ
จากนั้นได้เข้ามาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) สามารถพลิกฟื้นบริษัทให้กลับมามีกำไรได้ตั้งแต่ไตรมาสแรก หลังจากขาดทุนติดต่อกัน 5 ปี ต่อมาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และเป็นผู้บริหารคนนอกตระกูลคนแรกขององค์กรที่มีอายุมากกว่า 70 ปี
โดย “ที่มา-ที่ไป” ของการรับตำแหน่ง นางศุภจี บอกว่า “การทำงานการเมืองไม่เคยอยู่ในหัว ไม่สนใจ แต่นายอนุทิน โทรมาชักชวน และให้เวลาตัดสินใจแค่ครึ่งชั่วโมง จึงเอาไปปรึกษาครอบครัวและดุสิตธานี ทุกคนเห็นด้วย ก็เลยตอบตกลง”
ส่วนเหตุผลที่ยอมรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยหนึ่ง ประเทศกำลังเจอความท้าทาย ต้องมีคนมาช่วยเรื่องปากทอง และเศรษฐกิจภาพรวม และสอง ทราบอยู่แล้วว่า ภารกิจมีอายุไม่นานแค่ 4 เดือน หวังจะทำสิ่งที่สำคัญ ให้เห็นผลโดยเร็ว และมีรากฐานให้คนต่อ ๆ ไป
สำหรับแนวทางการทำงาน จะร่วมมือกับทุกฝ่าย ทั้งข้าราชการและทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน เพราะ “ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง 100% ก่อนลงมือทำ แต่ขอให้ทำ 100% ในสิ่งที่รู้”
“ผู้เขียน” ในฐานะคลุกคลีทำข่าวกระทรวงพาณิชย์มานานคนหนึ่ง ก็ขอ “ชื่นชม” ความตั้งใจ และมีความ “คาดหวัง” กับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในกระทรวงพาณิชย์
แต่ทั้งนี้ ไม่ต้องการที่จะชื่นชมเพียงอย่างเดียว เรื่องร้อน-เรื่องฮอต ก็อยากที่จะ “นำเสนอ” ให้รับทราบ เพราะงาน “กระทรวงพาณิชย์” ไม่หมู-ไม่ง่าย และปัจจุบันมี “เผือกร้อน” เข้าคิวรออีกมากมาย
ที่สำคัญ การเข้ามาบริหารจัดการจะต้องทำให้ “สมดุล” เพราะเกี่ยวข้องกับคนทั้งประเทศ ตั้งแต่ “เกษตรกร-ประชาชน-ภาคธุรกิจเล็ก กลาง ใหญ่” หาก “เอนเอียง” ฝ่ายใด อีกฝ่ายจะได้รับผลกระทบทันที
บรรดาเผือกร้อนที่ว่า เริ่มจากปัญหาใหญ่ระวันปะทุ “ข้าวนาปี ปี 2568/69” ที่ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาด และชาวนาเริ่มส่งเสียง ราคา “ตกต่ำ” มากที่สุดในรอบ 20 ปี ตอนนี้ ยังไม่เห็น “แสงสว่าง” ปลายอุโมค์ว่าราคาข้าวจะปรับขึ้นยังไง ขณะที่ “การส่งออก” ก็เจอปัญหา “เงินบาท” แข็งค่าซ้ำเติม โดยทุก ๆ 1 บาทที่แข็ง กระทบราคาข้าวเปลือกตันละ 500 บาท หากไม่มีการแก้ไขปัญหา ผู้ส่งออกประเมินไว้ว่า อาจได้เห็นข้าวเปลือกตันละ 4,000 บาท ช่วงผลผลิตออกมากก็เป็นได้
สำหรับพืชเกษตรสำคัญอื่น ๆ อย่าง “ข้าวโพด” ตอนนี้ “หมดห่วง” ไปได้เปราะหนึ่ง มีการขีดเส้นราคาให้โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อไว้แล้ว “ปาล์มน้ำมัน” ยังราคาดี เพราะเป็นช่วงปลายฤดู “มันสำปะหลัง” ราคายืนแถว ๆ 2 บาท เพราะเป็นช่วงปลายฤดูกาลเช่นเดียวกัน
ส่วน “ผลไม้” ผลผลิตหลัก ๆ “มะม่วง ทุเรียน มังคุด เงาะ ลิ้นจี่ ลำไย” หมดไปแล้ว ที่ยังออกสู่ตลาด ก็มี “ลองกอง สับปะรด ส้ม” โดยปีนี้ ราคาส่วนใหญ่ ไม่ค่อยดีนัก เมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ หน้า แต่ก็จบฤดูกาลไปแล้ว ปัญหาหลัก เป็นเรื่องที่ต้องเตรียม “รับมือ” ผลผลิตฤดูกาลใหม่มากกว่า
ทางด้าน “การส่งออก” ที่เป็นเครื่องจักรสำคัญ ช่วง 7 เดือนปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) “ทำได้ดี” มีมูลค่า 195,432.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 14.4% การนำเข้ามูลค่า 195,172.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.6% เกินดุลการค้า 259.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยการส่งออก ที่ขยายตัวได้สูง เป็นผลจากการ “เร่งนำเข้า” เพื่อหนีภาษีสหรัฐฯ ที่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือน ส.ค.2568 และนับจากนี้ การส่งออกจะยังคงเป็น “พระเอก” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้อง “จับตา” และวัดฝีมือของนางศุภจี ที่จะ “พลิกเกม” ได้อย่างไร
ขณะที่ “การค้าชายแดน” ฟากไทย-กัมพูชา ไม่ต้องพูดถึง การค้าเดือน ก.ค.2568 ที่ผ่านมา ลดลงเกือบ 100% ทั้งส่งออก-นำเข้า ผลพวงจากการปิดด่าน 18 แห่ง ส่วนเมียนมา มีปัญหาเรื่องการเข้มงวด “มาตรการใบอนุญาตนำเข้า” และการปิดด่านเมียววดี-แม่สอด ที่เป็น “เรื่องใหญ่” รอให้นางศุภจีเข้ามาสะสาง
ทางด้าน “ค่าครองชีพ” ประชาชนบ่นกันทุกหย่อมหญ้า อาหารจากด่วน อาหารตามสั่ง ปรับขึ้นราคาเป็นว่าเล่น สวนทางรายได้ที่ไม่เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ใช้วิธีซิกแซก ปรับขึ้นราคาทางอ้อม ทั้งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ลดไซส์ขายราคาเดิม เป็นอีกเรื่อง ที่ต้อง “เกาะติด” จะมีมาตรการบริหารจัดการแบบไหน เพราะเป็นเรื่องที่ “ไม่ง่าย” ส่วน “โครงการธงฟ้า” ที่เคยใช้เป็นพระเอก จะเอาอยู่หรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่ต้อง “สานต่อ” ทั้งการเจรจา FTA ที่ค้าง ๆ อยู่ ทั้งไทย-สหภาพยุโรป ไทย-เกาหลีใต้ อาเซียน-แคนาดา การอัปเกรด FTA เดิม ทั้งอาเซียน-อินเดีย อาเซียน-เกาหลใต้ ไทย-เปรู และการผลักดันความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) ให้สำเร็จ
รวมไปถึงการผลักดัน SME ให้มีโอกาสทางการค้า การแก้ไขปัญหานอมินีและธุรกิจผิดกฎหมาย การพัฒนางานบริการของกระทรวงพาณิชย์ และการแก้กฎ ระเบียบ กฎหมายที่เป็นอุปสรรค
ทั้งหมดนี้ เรียกว่าเป็น “งานหิน” และ “เผือกร้อน” ที่รอให้ “สะสาง”
ทิศทางการบริหารจัดการ “ปัญหา” ของกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้การกุมบังเหียรของนางศุภจี จะเป็นอย่างไร และจะเป็นที่ “ถูกอก-ถูกใจ” บรรดามิตรรักแฟนเพลงหรือไม่
อีกไม่กี่วัน ก็คงรู้กัน
เดี๋ยวไว้มีความคืบหน้า จะมารายงานให้ทราบอีกที
ซีเอ็นเอ
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง