
จบไปจนได้ สำหรับ “มาตรการดูแลข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต 2568” หลังเกษตรกรผู้ปลูกข้าวหลายกลุ่มแท็กทีมออกมาเรียกร้อง จนปัญหาอีรุงตุงนัง มาเป็นสัปดาห์ ก่อนหน้านี้
กระแสเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ “ราคาข้าวตกต่ำ” เริ่มต้นจากเกษตรกร จ.ฉะเชิงเทรา ตามด้วยพระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ วิ่งเรียกร้องไปยังจังหวัด สส.ในพื้นที่ ไล่มาจนถึง “กระทรวงพาณิชย์-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์-ทำเนียบรัฐบาล”
จน “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี” ได้สั่งการให้ “พาณิชย์-เกษตร” ไปจัดการปัญหา และหาทางช่วยเหลือเกษตรกรโดยด่วน
จากนั้น “นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ด้านการตลาด หรืออนุ นบข.ด้านการตลาด จัดประชุมเร่งด่วน เพื่อพิจารณามาตรการช่วยเหลือ
ทั้งนี้ คณะอนุ นบข. ด้านการตลาด นัดประชุมเมื่อวันที่ 20 ก.พ.2568 เคาะ 3 มาตรการ ที่จะนำมาใช้ในการดูแลข้าวเปลือกนาปรัง คือ 1.สินเชื่อชะลอนาปรัง ช่วยค่าฝากเก็บ 1,500 ต่อตัน หากเก็บในยุ้งฉางตัวเอง ได้ 1,000 บาทต่อตัน หากเก็บที่สหกรณ์ โดยสหกรณ์ได้ 500 บาทต่อตัน 2.ชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการโรงสี 6% เก็บสต๊อกไว้ 2-6 เดือน และต้องซื้อข้าวสูงกว่าราคาตลาด 200 บาทต่อตันขึ้นไป 3.เปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือก โดยรัฐสนับสนุนค่าบริหารจัดการ 500 บาทต่อตัน และผู้ประกอบการต้องรับซื้อข้าวสูงกว่าตลาด 300 บาทต่อตัน ทั้งหมดใช้งบประมาณรวม 1,893.53 ล้านบาท
ต่อมาวันที่ 26 ก.พ.2568 ช่วงเช้า คณะอนุ นบข.ด้านการผลิต ที่มี “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เป็นผู้รับผิดชอบ ได้ประชุมเพื่อพิจารณามาตรการช่วยเหลือชาวนา ได้พิจารณาข้อเสนอ การชดเชยกรณี “งดเผาตอซังฟางข้าว” และการเยียวยากรณีเป็น “พื้นที่รับน้ำ”
ผลประชุม “ไม่อนุมัติ” การช่วยเหลือกรณีงดเผาตอซังฟางข้าว เพราะใช้งบมากเกินไป และมีมาตรการอื่นช่วยเหลืออยู่แล้ว ส่วนพื้นที่รับน้ำ รัฐมีมาตรการดูแลอยู่แล้วเช่นเดียวกัน
พอช่วงบ่าย “คณะกรรมการนโยบายและบริการข้าวแห่งชาติ (นบข.)” ที่มี “นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” เป็นประธาน ได้ประชุมต่อทันที
ผลการประชุม ได้มีมติ “จ่ายเงินชดเชยเกษตรกรโดยตรงไร่ละ 1,000 บาท คนละไม่เกิน 10 ไร่” วงเงินงบประมาณ 2,867.23 ล้านบาท ส่วนมาตรการอื่น ๆ ที่เสนอเข้าสู่การพิจารณา ไม่อนุมัติทุกมาตรการ
ทันที ที่มติ นบข.ออกมา ได้เกิด “คำถาม” ขึ้นมามากมายว่า “เกิดอะไรขึ้น” ทำไม มติ นบข. ถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ แล้วมาตรการที่เตรียมเสนอไว้ “หายไปไหน”
วันที่ 27 ก.พ.2568 “นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน” ได้นัดแถลงข่าว เพื่อชี้แจงข้อสงสัยและที่มาที่ไปของมติ “ไร่ละพัน” ว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร
นายวิทยากร บอกว่า ในช่วงการประชุม นบข. ได้มีการนำเสนอมาตรการที่ผ่านการพิจารณาของ อนุ นบข. ด้านการตลาด และข้อเสนอของเกษตรกรที่ยื่นเข้ามาทั้งหมด โดยที่ประชุมพิจารณาข้อดี ข้อเสีย ของทุกมาตรการ สุดท้ายมีมติออกมามาตรการเดียว คือ การช่วยเหลือไร่ละพัน ไม่เกิน 10 ไร่
“เหตุผล” ที่ใช้มาตรการนี้ เพราะสามารถดำเนินการ “ได้ทันที” และไม่เป็น “ภาระงบประมาณ” เพราะมี “วงเงินคงเหลือ” จาก “มาตรการข้าวนาปี” ที่ตั้งไว้ 4.7 หมื่นล้าน ขณะนี้มีเงิน “คงเหลือ” ประมาณ 4 พันล้านบาท ที่ต้อง “ส่งคืน” กระทรวงการคลัง สามารถ “ขอกลับ” นำมาใช้ได้
ส่วนมาตรการ “ฝากเก็บยุ้งฉาง” ที่ประชุมเห็นว่า “ข้าวที่ฝากเก็บ” และมอบ “ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.)” ให้สินเชื่อ โดยใช้ข้าว “ค้ำประกัน” จะต้อง “ใช้เงิน” เป็นจำนวนมาก คิดง่าย ๆ เป้าข้าวเปลือก 1.5 ล้านตัน ถ้าให้สินเชื่อตันละ 8,000 บาท ก็ปาเข้าไป 12,000 ล้านบาทแล้ว ไหนจะมีค่าดำเนินการ ค่าอะไรอีกจิปาถะ
หากเกษตรกร “ไม่มาไถ่ถอน” ก็จะยิ่ง “เป็นภาระ” ในอนาคต เพราะรัฐบาลต้องนำข้าวออกมาขาย และอย่างที่รู้ ๆ กัน “ข้าวนาปรัง” ไม่นิยมเก็บกันไว้นาน เพราะ “คุณภาพไม่ดี” เหมือนกับ “ข้าวนาปี” ทำให้มาตรการนี้ “ตกไป” รวมถึงมาตรการช่วยดอกเบี้ยโรงสี และการเปิดจุดรับซื้อ
อย่างไรก็ตาม แม้ทั้ง 3 มาตรการ จะไม่ผ่านการพิจารณาของ นบข. แต่ “กรมการค้าภายใน” ก็มีมาตรการดันราคาอยู่ในมือที่สามารถดำเนินการได้ ก็คือ การจัด “ตลาดนัดข้าวเปลือก” ที่จะไปเปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรในจังหวัดที่เป็นแหล่งเพาะปลูก และ “การร่วมมือ” กับ “สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุง” ในการเข้าไปรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร เพื่อนำมาผลิตข้าวถุง เป้าหมาย 5 แสนตัน จากนั้นจะร่วมมือกับ “ห้างค้าส่งค้าปลีก-ห้างท้องถิ่น” จัดโปรโมชัน “ลดราคาข้าวถุง” เพื่อกระตุ้นการบริโภค
อีกด้าน “กระทรวงพาณิชย์” จะเดินหน้า “ผลักดันส่งออก” ขณะนี้ “นายพิชัย” ได้หารือกับ “เอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย” เพื่อให้ซื้อข้าวจีทูจีที่ค้างอยู่ 2.8 แสนตัน และจะมีคณะเดินทางไป “ขายข้าว” ที่แอฟริกาช่วงปลายเดือน มี.ค.2568 นี้ เบื้องต้นน่าจะขายได้ไม่ต่ำกว่า 3.7 แสนตัน ซึ่งจะช่วยดูดผลผลิตข้าว และดันให้ราคาปรับตัวดีขึ้นได้
สำหรับขั้นตอนการ “จ่ายเงิน” ให้กับเกษตรกร จะจ่ายให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ปลูกข้าวนาปรัง โดยล่าสุด มีเกษตรกรแจ้ง “ขึ้นทะเบียน” แล้ว 2.3 แสนครัวเรือน ประมาณ 4 ล้านไร่ ส่วนปี 2567 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียน 3.2 แสนครัวเรือน ประมาณ 5.5 ล้านไร่ แสดงว่า ยังมีเกษตรกรที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนอีกส่วนหนึ่ง ได้เปิดโอกาสให้แจ้งขึ้นทะเบียนได้จนถึงวันที่ 30 เม.ย.2568
“เกษตรกร” ที่ปลูกข้าวนาปรัง ใครที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน ให้รีบไปแจ้งขึ้นทะเบียน ยังมีเวลาอีกประมาณ 2 เดือน
เงิน “ไร่ละพัน” ที่เกษตรกรจะได้งวดนี้ เป็นเงินที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคาข้าวตกต่ำ และไม่ใช่เงินให้เปล่า ๆ แต่มี “เงื่อนไข” ให้เกษตรกร “ปรับเปลี่ยน” การปลูกข้าวนาปรัง ไปเป็น “พืชเกษตรกรอื่น ๆ” ที่ “ทำเงิน-ทำรายได้” มากกว่านี้ หรือถ้ายังอยาก “ปลูกข้าว” ก็ต้องใช้ “พันธุ์ข้าวที่ดี-มีคุณภาพ” เพื่อให้ได้ “ผลผลิตต่อไร่” สูงขึ้น และข้าวมีคุณภาพดีขึ้น ขายได้ราคาสูงขึ้น
ตอนนี้ ทีมคณะทำงานที่ประกอบด้วย “พาณิชย์-เกษตร-มหาดไทย” กำลังทำแผนกันอยู่
อีกไม่นานคงมีความ “ชัดเจน”
ส่วน “เกษตรกร” ขอให้เตรียมพร้อม “ปรับตัว” แต่เนิ่น ๆ
ซีเอ็นเอ
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง