ปี 2567 ที่ผ่านมา “กระทรวงพาณิชย์” มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่เข้ามากำกับดูแล 2 ท่าน คือ “นายภูมิธรรม เวชยชัย” กับ “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” แต่ด้วยความที่เป็นรัฐมนตรีจากพรรคเดียวกัน การขับเคลื่อนงานมีความ “ต่อเนื่อง” ไม่เกิดอาการ “สะดุด” ให้เห็น
ตลอดทั้งปี มี “ผลงาน” ที่ “จับต้องได้” หลายผลงาน และมีส่วนสำคัญในการ “ขับเคลื่อน” เศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างมาก
มีผลงานเด่น ๆ อาทิ
“การขับเคลื่อนการส่งออก” เดิมตั้งเป้า 1-2% แต่ผ่าน 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) ส่งออกเพิ่มขึ้น 5.1% คาดว่าทั้งปี จะส่งออกได้ 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 5.2% หรือคิดเป็นเงินบาทมูลค่า 10 ล้านล้านบาท ทำสถิติ “นิวไฮ” มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์
“การผลักดันราคาสินค้าเกษตร” สามารถทำให้เป็น “ปีทอง” สินค้าเกษตร ทั้ง “พืชหลัก-พืชรอง” โดยราคาเพิ่มขึ้น 23% สร้างมูลค่าเพิ่มได้กว่า 2 แสนล้านบาท หลาย ๆ ตัวราคาทำสถิติเป็นว่าเล่นน เช่น ข้าวเปลือกเจ้า สูงสุดในรอบ 20 ปี สับปะรด กระเทียม หอมแดง สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ผลไม้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง มะม่วง ลิ้นจี่ ส้ม ส้มโอ สับปะรด และลำไย
“โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ด้วยการ “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” ช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุน ทั้งลดค่าเช่าพื้นที่ หาพื้นที่ให้ขายสินค้า และพาณิชย์ลดราคา ที่มีการประสานผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ห้างค้าส่งค้าปลีก ห้างท้องถิ่น ร้านสะดวกซื้อ แพลตฟอร์มออนไลน์ ลดราคาสินค้า เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ รวมไปถึงการดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ทั้งภาคเหนือ-ภาคใต้
“ปิดดีลเจรจา FTA” สามารถสรุปผลการเจรจา “FTA ไทย-เอฟตา” ได้เป็นผลสำเร็จ และจะมีการลงนามในวันที่ 23 ม.ค.2568 ที่จะถึงนี้ ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้หลายประเทศที่กำลังเจรจา FTA กับไทย หรือยังไม่มี FTA กับไทย อยากที่จะทำ FTA กับไทย เช่น สหภาพยุโรป (อียู) เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร แคนาดา และประเทศอื่น ๆ
“การแก้ปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ” ได้มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 16 หน่วยงาน ใช้มาตรการที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่อย่างเข้มข้น สามารถลดการนำเข้าสินค้าไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศลงได้ และช่วยให้ SME ไทย แข่งขันได้ดีขึ้น
“การแก้ปัญหานอมินี” ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบ บังคับใช้กฎหมาย โดยตรวจสอบนิติบุคคลที่กระทำความผิดนอมินีแล้ว 747 ราย มูลค่าความเสียหายประมาณ 11,720 ล้านบาท และได้เพิ่มความเข้มข้นในการกำกับดูแลการจดทะเบียนนิติบุคคล เพื่อป้องกัน “บัญชีม้านิติบุคคล”
นอกจากนี้ ยังมี “ผลงาน” อีกมากมาย เช่น ส่งออกข้าว มีลุ้นแตะ 10 ล้านตัน การค้าชายแดนขยายตัว หลายหน่วยงานนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในงานบริการ การผลักดันคนตัวเล็ก และ SME ให้มีโอกาสทางเศรษฐกิจ เป็นต้น
ส่วนในปี 2568 “นายพิชัย” ได้ให้ “คำมั่น” ว่า จะเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลภายใต้การนำของ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี” ในการ “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” ต่อไป โดยกระทรวงพาณิชย์จะมุ่งเน้นเป้าหมายให้ “เศรษฐกิจการค้าไทยเข้มแข็ง เป็นธรรม เติบโตอย่างยั่งยืน”
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนงานพาณิชย์ในการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส จะดำเนินการภายใต้ Motto ใหม่ คือ eMpower and Optimise Commerce plus Sustainable Growth หรือใช้ตัวย่อว่า MOC+
ภารกิจภายใต้ MOC+ มีหลายเรื่องสำคัญ แต่ที่จะ “เน้น” มากที่สุด คือ จะปรับการทำงานเป็น 80 : 20 คือ 80% มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการ และอีก 20% เน้นการกำกับดูแลเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้า
โดยในการสร้างความเข้มแข้งให้กับเกษตรกร จะดูแลราคาสินค้าเกษตรและผลักดันราคาให้เหมาะสม เพื่อให้เป็นปีทองของสินค้าเกษตรไทยต่อไป
ยกตัวอย่างเช่น “ข้าว” จะเปิดเสรีการค้าข้าว เปิดโอกาสให้รายเล็กมีโอกาสส่งออกเพิ่มขึ้น การผลักดันและการใช้ประโยชน์จาก “สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)” เพื่อผลักดันสินค้าชุมชน สินค้าท้องถิ่น การผลักดันให้ไทยเป็น “คลังอาหารของโลก” เพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงด้านอาหารให้กับประเทศต่าง ๆ และจะสร้างโอกาสในการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย
สำหรับ SME จะเน้นการ “ปลดล็อก” หรือ “ปรับลด” กฎระเบียบ ที่เป็นข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ และเสริมแกร่งด้วยการส่งเสริม “ช่องทางการตลาด” พา “บุกเจาะ” ตลาดประเทศต่าง ๆ และช่วย “เพิ่มมูลค่าให้สินค้า” ด้วยการสร้างแบรนด์ โดยจะสร้าง “Thailand Brand ตามด้วยแบรน์ของ SME” ให้เป็นเครื่องหมาย “การันตี” คุณภาพสินค้า และเมื่อเข้มแข็งแล้ว ก็สามารถที่จะใช้แบรนด์ของตัวเองได้ต่อไปในอนาคต
ขณะเดียวกัน จะปรับโฉมหน้า “ร้านอาหาร Thai SELECT” ด้วยการให้ดาว เหมือนดาวมิชลิน ซึ่งจะสามารถใช้เป็นเครื่องหมายแสดงคุณภาพร้านอาหาร และดึงดูดให้คนเข้ามาใช้บริการ รวมถึงส่งผลดีต่อการส่งออกวัตถุดิบอาหารได้เพิ่มขึ้น
ส่วน “การเจรจา FTA” จะเร่งปิดดีล FTA ที่อยู่ระหว่างการเจรจา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างโอกาสทางการค้า สร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทย
“การสร้างความเป็นธรรมทางการค้า” จะเน้นการกำกับดูแลให้ผู้บริโภคและเกษตรกรได้รับความเป็นธรรมด้านราคาและปริมาณสินค้า การดูแลผู้ประกอบการ SME จากการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยจะบังคับใช้กฎหมายที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลอย่างเข้มข้น รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“การเติบโตอย่างยั่งยืน” จะส่งเสริมสินค้ารักษ์โลก ลดปัญหาโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลและรับผิดชอบต่อสังคม
“จากทิศทางและความมุ่งมั่นในการทำงานดังกล่าว มั่นใจว่ากระทรวงพาณิชย์ยุคใหม่ จะเป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันเป้าหมาย MOC+ ให้เศรษฐกิจการค้าไทยเข้มแข็ง เป็นธรรม เติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างแน่นอน”นายพิชัยกล่าว
ทั้งหมดนี้ คือ “ทิศทาง” และ “เข็มทิศ”
ที่ “กระทรวงพาณิชย์” จะใช้ “ขับเคลื่อน” ในปี 2568
ซีเอ็นเอ
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง