การระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ที่มีจุดเริ่มต้นจากตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาคร ส่งผลให้ “หน้ากากอนามัย” กลับมาหายาก และเริ่มมีปัญหาการโก่งราคาขึ้นอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ สถานการณ์เป็นปกติมาหลายเดือน หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ปลดล็อกให้สามารถจำหน่ายหน้ากากอนามัยในประเทศได้ตั้งแต่เดือนส.ค.2563
ตอนนั้น สินค้ามีวางจำหน่ายเป็นปกติ สามารถหาซื้อได้ง่าย ทั้งในห้าง ร้านขายยา หรือร้านค้าทั่วไป มีมากจนสินค้าวางกองอยู่ในร้าน แต่ไม่มีคนซื้อ
ราคาส่วนใหญ่ต่ำกว่าราคาควบคุมที่ชิ้นละ 2.50 บาท เฉลี่ยกล่อง 50 ชิ้น มีราคาตั้งแต่ 50 บาทไปจนถึงราคาสูงสุด 125 บาท
พอโควิด-19 ระบาดซ้ำ สินค้าเริ่มหายไปจากตลาด และมาพร้อมๆ กับปัญหาการปรับขึ้นราคา
ช่วงแรก ราคาวิ่งชนเพดาน กล่องละ 125 บาท แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในราคาควบคุม
ต่อมา ราคาเริ่มเกินเพดาน และเริ่มมีเสียงบ่นจากประชาชน
กระทรวงพาณิชย์ออกมาตัดไฟตั้งแต่ต้นลม “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” สั่งการเด็ดขาด ให้ตรวจสอบสถานการณ์การจำหน่ายหน้ากากอนามัยทั่วประเทศ ตรวจสอบสถานการณ์ราคา ทั้งเรื่องการปิดป้ายแสดงราคา การจำหน่ายราคาสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ มีการปฏิเสธการขายหรือไม่
ถ้าพบเห็น ให้ดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด
ผลการตรวจสอบทั้งประเทศหลังการระบาดรอบใหม่ พบว่า ร้านค้าต่างๆ ยังขายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ไม่เกินราคาควบคุมที่ชิ้นละ 2.50 บาท โดยราคาขายแบบกล่อง (50 ชิ้น) อยู่ที่กล่องละ 50-125 บาท หรือเฉลี่ยชิ้นละ 1.00-2.50 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และคุณภาพของสินค้า
ส่วนหน้ากากนำเข้า ที่ประชาชนเห็นว่า มีการขายสูงเกินกว่าราคาควบคุม มีเหตุผลเพราะผู้นำเข้าต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ จากการนำเข้า โดยกระทรวงพาณิชย์อนุญาตให้ตั้งราคาขายโดยบวกค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มได้ไม่เกิน 60% ของราคานำเข้า
ขณะที่การจำหน่ายทางออนไลน์ ที่การระบาดครั้งก่อน เคยสร้างปัญหาเอาไว้มาก มาครั้งนี้ นายจุรินทร์ได้หาทางป้องกันล่วงหน้า เชิญแพลตฟอร์มออนไลน์ชื่อดัง ทั้งเฟซบุ๊ก ลาซาด้า ช้อปปี้ และไปรษณีย์ไทย เข้ามาหารือ เพื่อขอความร่วมมือให้ควบคุมร้านค้าหรือผู้โพสต์ขายออนไลน์ในแพลตฟอร์มของตนเอง ไม่ให้ขายเกินราคาหรือกระทำความผิด หากปล่อยปละละลาย ก็จะเอาผิดกับแพลตฟอร์ม
อย่างไรก็ตาม แม้กระทรวงพาณิชย์จะคุมเข้ม แต่ก็พบบางร้านค้า มีการฉวยโอกาสฉวยโอกาสขายแพงเกินราคาที่กำหนด ซึ่งได้มีการจับและส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขอฝากไปถึงผู้ค้า ร้านค้า และผู้ที่จำหน่ายทางออนไลน์ อย่าเอาเปรียบประชาชน ขายแพง โก่งราคา หรือกักตุนสินค้า เพราะกระทรวงพาณิชย์เอาจริง เจอที่ไหน จับที่นั่น และดำเนินคดีเด็ดขาดทุกราย
พร้อมยกตัวอย่าง ที่เคยจับกุมไปก่อนหน้านี้ 435 ราย ตอนนี้ มี 2 รายที่คดีถึงที่สุดแล้ว ได้แก่
ที่ จ.บึงกาฬ ขายแพงเกินสมควร ศาลสั่งจำคุก 1 ปี แต่รอลงอาญา และปรับ 50,000 บาท
อีกรายที่ จ.เพชรบูรณ์ จงใจขายแพง และปฏิเสธการขาย ศาลสั่งจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา และปรับอีก 5,000 บาท
ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล แต่เชื่อว่า ทุกรายไม่รอดพ้นเงื้อมมือของกฎหมาย
จับจริง เอาผิดจริง ติดคุกจริง
เพราะฉะนั้น อย่าหาทำ! อย่าหวังประโยชน์แค่ชั่วครู่ ชั่วยาม เอาอนาคตมาเสี่ยง มันได้ ไม่คุ้มเสีย
ซีเอ็นเอ
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง