กรมทรัพย์สินทางปัญญาผนึกกำลังหน่วยงานพันธมิตร ติวเข้มเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ปฏิบัติงานด้านการปราบปราม ให้มีความรู้เชิงลึกครบทุกมิติ ทั้งการแยกแยะสินค้าจริง-ปลอม การสืบสวน จับกุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามสินค้าละเมิดในพื้นที่ต่าง ๆ เผยจะเดินหน้าสาวลึกถึงต้นตอ ทั้งแหล่งเก็บ โกดัง จุดนำเข้า จุดกระจายเพิ่มขึ้น สกัดสินค้าหลุดเข้าท้องตลาด ล่าสุด 11 เดือนจับแล้ว 1,132 คดี ของกลาง 3.3 ล้านชิ้น เสียหาย 1,140 ล้านบาท
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมได้ร่วมกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ร่วมพัฒนาศักยภาพการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ปฏิบัติงานด้านการปราบปรามรวมกว่า 150 ราย โดยเน้นการสร้างองค์ความรู้ด้านทรัพย์สินทางปัญญาเชิงลึก การบังคับใช้กฎหมาย กระบวนการพิจารณาคดี ตลอดจนแนวทางการตรวจสอบสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อส่งเสริมความพร้อมและทักษะในการปฏิบัติงานปราบปรามให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด
ทั้งนี้ ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แม้จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในหลายมิติ แต่ขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในท้องตลาดและช่องทางออนไลน์ มีรูปแบบซับซ้อนและยากต่อการตรวจจับมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไม่อาจยึดติดกับวิธีการเดิมได้อีกต่อไป กรมจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนากลไกปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายให้เท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างรอบด้าน มีความแม่นยำ ฉับไว และเชื่อมโยงการทำงานกับทุกภาคส่วนได้อย่างเป็นระบบ พร้อมดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาให้ทันสมัย สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อป้องกันและรับมือกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทุกรูปแบบ

โดยในการให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ปฏิบัติงานด้านการปราบปราม ได้ถ่ายทอดความรู้และทักษะที่จำเป็นในหัวข้อต่าง ๆ อาทิ การป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในท้องตลาดและช่องทางออนไลน์ การตรวจสอบและแยกแยะสินค้าของจริงและสินค้าปลอม แนวทางการสืบสวนและขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิดจากผู้ขายสินค้าละเมิด รายย่อยไปยังเครือข่ายสินค้าละเมิดรายใหญ่ (แหล่งต้นน้ำ) กระบวนการพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาของพนักงานอัยการ เป็นต้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเข้มแข็ง ต่อเนื่อง และเป็นธรรม ทั้งต่อเจ้าของสิทธิ์ ผู้ใช้งานทรัพย์สินทางปัญญา และประชาชนทั่วไป
“กรมมุ่งมั่นพัฒนามาตรการป้องกันและปราบปรามสินค้าละเมิดให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเน้นกวาดล้างในพื้นที่แหล่งต้นน้ำ ทั้งแหล่งเก็บสินค้า โกดัง จุดนำเข้าและกระจายสินค้า ตลอดจนย่านการค้าสำคัญในพื้นที่เฝ้าระวังทั่วประเทศ โดยเพิ่มมาตรการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด พร้อมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน ระงับยับยั้งการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนผู้บริโภค ปลอดภัยจากสินค้าปลอมที่ไม่ได้คุณภาพและเป็นอันตรายต่อชีวิต และส่งเสริมระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและยั่งยืน”นางอรมนกล่าว
นางอรมนกล่าวว่า สถิติการปราบปรามสินค้าละเมิดในช่วง 11 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-พ.ย.) มีจำนวน 1,132 คดี ยึดของกลางได้กว่า 3.3 ล้านชิ้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 1,140 ล้านบาท และล่าสุดเมื่อวันที่ 17–23 ธ.ค.2568 กรมร่วมกับ บก.ปอศ. และภาคเอกชนเจ้าของสิทธิ์ จัดชุดระดมลงกวดขันพื้นที่ศูนย์การค้าใจกลางกรุงเทพมหานคร รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเกาะสมุย และอำเภอเกาะพงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี สามารถจับกุมผู้จำหน่ายสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า 7 คดี ยึดของกลาง เช่น นาฬิกา แว่นตา กระเป๋า เสื้อ รองเท้า หมวก เป็นต้น รวม 800 ชิ้น มูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท พร้อมนำส่งของกลางและผู้ต้องหาต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว
“กรมขอย้ำเตือนว่าสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค แต่ยังบั่นทอนกำลังใจของเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาและผู้ค้าที่ทำการค้าโดยสุจริต ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ หากประชาชนพบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา สามารถแจ้งเบาะแสมายังกองป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา กรมทรัพย์สินทางปัญญา โทร. 02-547-4702 สายด่วน 1368 หรือเว็บไซต์ www.ipthailand.go.th โดยบทลงโทษของผู้จำหน่ายสินค้าปลอมเครื่องหมายการค้า มีโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี ปรับสูงสุด 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนการจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ มีโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี หรือปรับสูงสุด 800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”นางอรมนกล่าว

ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง

