กรมทรัพย์สินทางปัญญาวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวจากฐานข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลก ตั้งแต่ปี 49-68 พบนวัตกรรมท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง จีนครองแชมป์จดสิทธิบัตรอันดับหนึ่ง ตามด้วยสหรัฐฯ และยุโรป ส่วนอินเดียน่าจับตา เผย 3 เทคโนโลยีมาแรง ชมแหล่งท่องเที่ยวเสมือนจริง การท่องเที่ยวยั่งยืน และใช้ AI ยกระดับการท่องเที่ยว แนะไทยใช้จุดแข็งวัฒนธรรม Soft Power ดึงดูดคนมาเที่ยว ผ่านการใช้เทคโนโลยีช่วยขับเคลื่อน
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้ทำการวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวจากฐานข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลก ระหว่างปี 2549–2568 พบว่า ตลาดนวัตกรรมท่องเที่ยวกำลังอยู่ในระยะเติบโต และเปิดกว้างให้ผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาร่วมในตลาดนี้ โดยมีจีน ครองอันดับ 1 ด้วยสิทธิบัตรกว่า 2,000 ฉบับ ตามด้วยสหรัฐฯ และยุโรปตะวันตก ส่วนประเทศที่น่าจับตามองและมีการเติบโตอย่างโดดเด่น ได้แก่ อินเดีย มีการเติบโตแรงที่สุดในโลกกว่า 292% ต่อปี โดยมีแรงหนุนจากสตาร์ตอัปแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ การใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการเดินทาง และนโยบายความยั่งยืน ขณะที่ไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มาแรง แม้จะมีจำนวนสิทธิบัตรไม่มาก แต่มีการเติบโตสูงกว่า 145% ต่อปี โดยมีจุดแข็งอยู่ที่เทคโนโลยีการบริการและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึกในรายละเอียด พบว่า แนวโน้มเทคโนโลยีกลุ่มย่อยที่ช่วยขับเคลื่อนการท่องเที่ยว มี 3 เทคโนโลยี ได้แก่ 1.เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Virtual Reality in Tourism) ถูกใช้เพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริงของแหล่งท่องเที่ยว ผ่านภาพ เสียง และบรรยากาศที่จำลองขึ้นก่อนนักท่องเที่ยวจะออกเดินทางจริง โดยเป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลังในการดึงดูดความสนใจ เทคโนโลยี VR เคยพัฒนาจนถึงจุดชะลอตัว แต่ในช่วง 5 ปีหลังกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งจากกระแส Metaverse Economy โดยผู้เล่นในสนามนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น LG Electronics (110 ฉบับ) บริษัทเกม LNw Gaming (138 ฉบับ) ไปจนถึงนักประดิษฐ์อิสระ รวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 400 ฉบับต่อปี สะท้อนว่า VR ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังไม่มีเจ้าตลาดที่ผูกขาดเบ็ดเสร็จ และยังมีโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับผู้เล่นรายใหม่ที่มีศักยภาพ
2.เทคโนโลยีเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน (Sustainable Tourism Technology) เป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น ระบบโรงแรมอัจฉริยะ (Smart Hotels) ที่ใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การเดินทางด้วยยานพาหนะประหยัดพลังงานหรือไฟฟ้า (Green Transport) แพลตฟอร์มที่ให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ การใช้ข้อมูลจัดการและติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระดับอุตสาหกรรม (Data Systems) เป็นต้น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับและถูกนำไปใช้ในวงกว้างจากกระแสรักษ์โลกในช่วงหลายปีหลัง ทำให้มีผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตรดังกล่าวจำนวนมาก เป็นสัญญาณว่าตลาดนี้ เริ่มเข้าสู่ภาวะการแข่งขันที่รุนแรง สำหรับผู้ถือสิทธิบัตรชั้นนำเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี ได้แก่ Silverbrook Research Pty Ltd (445 ฉบับ) ในบทบาทของผู้พัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึกที่เน้นงานวิจัยและนวัตกรรมใหม่ Digimarc Corp (361 ฉบับ) ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการจดจำข้อมูล และ American Vehicular Sciences LLC (250 ฉบับ) ผู้พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ เชื่อมโยงกับ Smart Transport & Carbon Tracking ในภาคการท่องเที่ยว โดยรวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 600 ฉบับต่อปี

3.เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Artificial Intelligence in Tourism) AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ยกระดับประสบการณ์นักท่องเที่ยวได้จริง โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อแนะนำแผนการเดินทาง ที่พัก กิจกรรมที่ตรงใจ และระบบนำเที่ยว พร้อมทั้งสนับสนุนการบริการผ่าน chatbot หรือผู้ช่วยเสมือนจริงที่สามารถโต้ตอบข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ เทคโนโลยี AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยู่ในระยะเติบโตอย่างเต็มตัว จำนวนคำขอสิทธิบัตรจากไม่ถึง 1,000 ฉบับในปี 2559 พุ่งไปเกือบ 3,000 ฉบับในปี 2565 และผู้ที่ยื่นคำขอสิทธิบัตรไม่ใช่เพียงแต่บริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่มีความหลากหลายจำนวนมาก ทั้งสตาร์ตอัปและผู้ประกอบการขนาดกลางที่เข้ามาสู่ตลาดนี้ ส่งผลให้เทคโนโลยี AI ในการท่องเที่ยวกลายเป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีพลวัตรสูงที่สุด และพร้อมจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในระยะยาว สำหรับผู้ถือสิทธิบัตรชั้นนำ ได้แก่ Silverbrook Research Pty Ltd (694 ฉบับ) และ Toyota Jidosha kk (504 ฉบับ) โดยรวมมีผู้ถือสิทธิบัตรมากกว่า 2,700 ฉบับต่อปี
นางอรมนกล่าวว่า จากบทวิเคราะห์เทรนด์สิทธิบัตรด้านการท่องเที่ยว ชี้ให้เห็นว่าอนาคตของ Smart Tourism ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จะถูกขับเคลื่อนโดยประเทศในแถบเอเชีย โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ส่วนไทยก็มีโอกาส โดยควรเร่งสร้างสิทธิบัตรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น Microsoft IBM Toyota ซึ่งมีสำนักงานในไทย ให้ร่วมทำ R&D และถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศ
ทั้งนี้ หากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสามารถเดินหน้าด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ ควบคู่กับการใช้จุดแข็งของทรัพยากรท้องถิ่น วัฒนธรรม ชุมชน และ Soft Power เช่น อาหาร มวยไทย เป็นต้น มาผสานเข้ากับนวัตกรรมสมัยใหม่ รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พร้อมยกระดับการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเป็นระบบ จะช่วยสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวไทยที่ไม่ซ้ำใครและยากที่ประเทศอื่นจะลอกเลียนแบบได้ เปิดโอกาสให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน และผลักดันให้ไทยกลายเป็นผู้เล่นสำคัญของตลาดการท่องเที่ยวเชิงนวัตกรรมระดับโลกได้ในอนาคต
สำหรับสถิติคำขอสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในไทย ในช่วง 5 ปีล่าสุด (2563-2568) มีการยื่นคำขอสิทธิบัตร 423 คำขอ (ต่างชาติ 386 คำขอ และไทย 37 คำขอ) และคำขออนุสิทธิบัตร 63 คำขอ (ต่างชาติ 3 คำขอ และไทย 60 คำขอ) ด้านสถิติการจดทะเบียน มีการจดทะเบียนสิทธิบัตร 14 ฉบับ (เป็นของต่างชาติทั้งหมด) และจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร 32 ฉบับ (ต่างชาติ 2 ฉบับ และไทย 30 ฉบับ) ผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตรสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท คูแปง คอร์ป (34 คำขอ) บริษัท ฮิตาชิ แอลทีดี (33 คำขอ) และบริษัทโตโยต้า จิโดชา คาบูชิกิ ไคชา (31 คำขอ) โดยนวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ระบบจัดการการจองที่พักของโรงแรม ระบบชำระเงินแบบเบ็ดเสร็จ กระบวนการบริหารจัดการธุรกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลของบล็อกเชน ระบบระบุตัวตนชื่อนามสกุลภาษาไทยและภาษาอังกฤษแบบอัตโนมัติด้วยเทคนิคการประมวลผลภาษาธรรมชาติ เป็นต้น

ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง

