“อนุทิน”เป็นประธานประชุม นบข. สั่งบริหารจัดการราคาข้าว เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของข้าวไทย และสร้างเสถียรภาพตลาดทั้งในและต่างประเทศ พร้อมไฟเขียวทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปรับราคาให้สอดคล้องปัจจุบัน เพิ่มมาตรการข้าวไทยสู่เศรษฐกิจอนาคต ระยะสั้น ดูดข้าวเปลือก 3 ล้านตัน แปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุง ระยะยาว ปรับพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังปลูกพืชชนิดอื่น และปลูกข้าวคุณภาพสูง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 พ.ย.2568 ที่ผ่านมา ได้ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ครั้งที่ 1/2568 โดยได้ประเมินสถานการณ์ตลาดข้าวโลกปีนี้ มีความผันผวนสูง แต่ก็เปิดโอกาสสำคัญให้ประเทศไทย โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้กราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ว่าจีนจะซื้อข้าวไทย 500,000 ตัน นับเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อราคาข้าวไทย และเป็นคำสั่งซื้อประวัติศาสตร์ในวาระการฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย และไทยยังตกลงขายข้าวและอาหารล่วงหน้าให้แก่สิงคโปร์ 100,000 ตัน ซึ่งยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นในข้าวไทย และตอกย้ำความจำเป็นที่เราต้องวางนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา ควบคู่กับการรักษามาตรฐานของสินค้าข้าวไทยอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ ที่ประชุม นบข. ได้ให้นโยบายยึดหลักสำคัญ 3 ประการ คือ 1.บริหารจัดการราคาข้าวให้อยู่ในระดับเหมาะสม 2.เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของข้าวไทย ทั้งด้านคุณภาพ มาตรฐาน และโลจิสติกส์ และ 3.สร้างเสถียรภาพตลาด ทั้งตลาดภายในประเทศ และตลาดต่างประเทศควบคู่กันไป

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีมติทบทวนแนวทางดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกเข้าฝากเก็บในยุ้งฉางเป็นระยะเวลา 1–5 เดือน ตั้งเป้าปริมาณ 3 ล้านตันข้าวเปลือก โดยทบทวนราคาสินเชื่อข้าวเจ้า ข้าวปทุมธานี และข้าวเหนียว ให้สอดคล้องกับราคาตลาดปัจจุบัน โดยเกษตรกรที่มียุ้งฉางของตัวเองจะได้ค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการจัดทำมาตรการ ภายใต้กรอบแนวคิด “ข้าวไทยสู่เศรษฐกิจอนาคต” (New Rice Economy) โดยมาตรการระยะสั้น เน้นการบริหารจัดการข้าวขาวที่มีส่วนเกิน ได้แก่ โครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินจ่ายขาด 1,680 ล้านบาท เพื่อดูดซับซัปพลายในตลาด และระบายออกอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ตลาด และมีแผนนำข้าวเปลือกไปแปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุงจำหน่าย เพื่อเชื่อมโยงไปยังหน่วยงานที่มีความต้องการใช้จริง อาทิ กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) หน่วยงานกองทัพ และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ
ส่วนมาตรการระยะยาว ศึกษาการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูกข้าวนาปรังบางส่วน เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาด กำหนดกรอบไว้ที่ 1,000,000 ไร่ โดยที่ประชุมมอบหมายให้มีการพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการ รวมถึงการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับปรุงคุณภาพ โดยปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตข้าวคุณภาพสูงหรือข้าวประณีต เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต ช่วยให้มีตลาดรองรับ และสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความโดดเด่นของข้าวไทยมากยิ่งขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ข้าวที่มีอัตลักษณ์อื่น ๆ โดยกำหนดเป้าหมายเป็นกลุ่มเกษตรกร 200 กลุ่ม วงเงินจ่ายขาด 120 ล้านบาท และการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด ซึ่งในพื้นที่ภาคกลางยังขาดข้าวคุณภาพสูงที่มีความหลากหลาย เพื่อนำมาปลูกทดแทนข้าวพื้นแข็ง โดยมอบหมายให้กรมการข้าว ไปศึกษาเพิ่มเติมให้เกิดความเหมาะสมต่อไป

นายวิทยากรกล่าวว่า ในส่วนของกรม จะยังคงเดินหน้าจัดตลาดนัดข้าวเปลือกทั่วประเทศจำนวนไม่น้อยกว่า 30 จุด ครอบคลุมกว่า 40 จังหวัด เพื่อเปิดพื้นที่ให้โรงสี ผู้ประกอบการเข้าไปรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคานำตลาด ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางจำหน่ายและดึงราคาในพื้นที่ให้ขยับขึ้นตามกลไกความต้องการ โดยราคาข้าวล่าสุด ณ วันที่ 17 พ.ย.2568 ขยับตัวเพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเกษตรกร โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิอยู่ที่ 14,300-15,800 บาทต่อตัน ข้าวขาว อยู่ที่ 6,100-6,800 บาทต่อตัน ขณะที่ข้าวชนิดอื่น ๆ ราคาก็เริ่มปรับสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
สำหรับทิศทางราคาข้าวในปีนี้ มีสัญญาณเชิงบวกจากมาตรการบริหารจัดการภายในประเทศ และการเร่งรัดการส่งออก โดยนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย รายงานว่า จากเป้าหมายส่งออกเดิมที่ 7.5 ล้านตัน คาดว่าไทยจะสามารถส่งออกได้สูงถึง 8–9 ล้านตัน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาข้าวในประเทศมีโอกาสขยับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนสถานการณ์ข้าวโลกและข้าวไทย ปี 2568/69 คาดว่าราคาข้าวโลก ปีการผลิต 68/69 จะถูกกดดันจากสต็อกข้าวอินเดียที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ การระงับการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ การชะลอนำเข้าข้าวไปจนถึงปี 2569 ของอินโดนีเซีย แต่ยังมีปัจจัยบวกช่วยหนุนราคาข้าว เช่น ผลผลิตข้าวในเวียดนามได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ขณะที่ความต้องการซื้อข้าวหอมมะลิจากตลาดต่างประเทศยังมีต่อเนื่อง
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง

