​DITP เกาะติดรถยนต์พลังงานใหม่ในจีน ชี้โตต่อเนื่อง ผู้ผลิตแข่งใส่ระบบอัจฉริยะ

img

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เกาะติดแนวโน้มตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ในจีน พบเติบโตต่อเนื่อง ผู้ผลิตรายใหญ่เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ ใส่ระบบอัจฉริยะในราคาย่อมเยา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค แนะไทยเกาะติด หาทางเข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน
         
น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทำการสำรวจลู่ทางการค้าและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบายนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดได้รับรายงานจาก น.ส.สายพร ใบบริบาลกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงแนวโน้มตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของจีนปี 2025 และโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีน
         
โดยทูตพาณิชย์รายงานว่า ปี 2025 มีการคาดการณ์ว่ายอดขายรวมในประเทศและส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle : NEV) ของจีน จะสูงถึง 16.5 ล้านคัน เติบโต 30% โดยในไตรมาสที่สองของปี 2024 รถพลังงานใหม่มีสัดส่วนการครองตลาดภายในประเทศถึง 55% และในครึ่งแรกของปี 2025 ผู้บริโภคที่เลือกใช้รถพลังงานใหม่มีสัดส่วนเกิน 60% ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นตลาดหลักของรถยนต์พลังงานใหม่ โดยในไตรมาสที่สองของปี 2025 จีนมีสัดส่วนตลาดถึง 63% ของยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ทั่วโลก โดยมียี่ห้อชั้นนำ อาทิ BYD) ครองแชมป์ด้วยส่วนแบ่งตลาด 22% ตามมาด้วย Geely อยู่ที่ 10% ขณะที่ Tesla ยอดขายลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนถึง 13% และส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือ 8% สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์จีนก้าวขึ้นมาเป็นบทบาทผู้นำในอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน
         
นอกจากนี้ จากข้อมูล พบว่า ในปี 2023 ผู้บริโภคที่ซื้อรถใหม่มากกว่า 50% เห็นว่าการซื้อรถไม่ได้เป็นเพียงซื้อครั้งแรกเพื่อทดลองอีกต่อไป แต่เป็นการอัปเกรดคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริง และคาดว่าผู้บริโภคที่มีแนวคิดเช่นนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 80% ภายในปี 2030
         


สำหรับช่วงราคาของรถยนต์พลังงานใหม่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอยู่ที่ 100,000-150,000 หยวน (456,000-600,000 บาท) ผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและการใช้งานจริง ทำให้ผู้ผลิตเร่งนำเทคโนโลยีจากรุ่นราคาสูงมาใส่ในรุ่นราคาย่อมเยามากขึ้น โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้มีจำนวนกว่า 250 ล้านคน และมีกำลังซื้อรวมกว่า 5.97 ล้านล้านหยวน (27.08 ล้านล้านบาท) ทั้งนี้ ผู้บริโภคกลุ่มนี้ถึง 70% เห็นว่า แบตเตอรีสำหรับระยะทางขับขี่ 400–500 กิโลเมตร เพียงพอต่อการใช้งานประจำวัน และมีเพียงส่วนน้อยที่ต้องการให้แบตเตอรีรองรับระยะขับขี่ 600 กิโลเมตร

นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังให้ความสนใจต่อรูปแบบการขับขี่อัจฉริยะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากเพียง 5% ในกลางปี 2023 สู่ 12% ในกลางปี 2024 ไม่เพียงแค่นั้น ในช่วงต้นปี 2025 บริษัทรถชั้นนำของจีน เช่น BYD, Changan และ Geely ได้ร่วมกันขับเคลื่อนกระแส “เทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะเพื่อทุกคน” (Smart Driving for All) ทำให้ในปัจจุบันรถที่ติดตั้งระบบช่วยขับบนทางด่วนมีราคาไม่ถึง 100,000 หยวน (456,000 บาท) และรถที่ติดตั้งระบบช่วยขับขี่ในเขตเมือง ราคาจะอยู่ในช่วงประมาณ 200,000 หยวน (912,000 บาท) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าจีนกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการเข้าถึงเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ
         
“ตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของจีนในปี 2025 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข่งขันอย่างเข้มข้น โดยผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น BYD, Geely และ Changan ยังคงมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมหลายระดับราคา พร้อมนำเทคโนโลยีแบตเตอรีและระบบขับขี่อัจฉริยะมาใช้ในรถรถที่ราคาย่อมเยา ทำให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น โดยข้อมูลช่วงราคาที่ได้รับความนิยมสะท้อนว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อความคุ้มค่าและการใช้งานจริง โดยผู้ประกอบการไทยอาจใช้กลยุทธ์ของแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง อาทิ การให้ความสำคัญต่อการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน และการสร้างแบรนด์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดต่างประเทศ เพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบด้านผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคา การใช้เทคโนโลยีการผลิต เพื่อวางแผนส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถแข่งขันและตอบสนองความต้องการของตลาดเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม และอาจพิจารณาหาโอกาสในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าจีนเพื่อขยายตลาดต่อไป” น.ส.สุนันทากล่าว

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง