
สนค.ติดตามตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะทั่วโลก พบมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละ 9.08% จนถึงปี 77 จากการพัฒนา AI และ IoT และความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค Millennials และ Gen Z ที่ต้องการควบคุม สั่งการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในบ้านด้วยอินเทอร์เน็ต เผยหลายประเทศยังมีนโยบายสนับสนุน ทั้งญี่ปุ่น สหรัฐฯ เยอรมนี รวมถึงไทย แนะนำนโยบายของประเทศต่าง ๆ มาปรับใช้ และผลิตสินค้าเป็นส่วนหนึ่งของอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เพื่อเพิ่มโอกาสส่งออก ดันไทยเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลก
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการสำรวจตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะทั่วโลก พบข้อมูลจาก Presedence Research ระบุว่า ในปี 2567 ตลาดมีมูลค่า 34,030 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 37,160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 โดยในช่วงปี 2568-2577 คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 9.08% ต่อปี จนมีมูลค่าสูงถึง 81,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2577 ซึ่งการเติบโตดังกล่าว ได้รับแรงหนุนจากการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT) ที่ช่วยสนับสนุนการสร้างเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะที่ซับซ้อนให้ใช้งานได้ง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้บริโภคกลุ่ม Millennials และ Gen Z ที่ต้องการควบคุมและสั่งการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ภายในบ้านด้วยอินเทอร์เน็ต เนื่องจากให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และความใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ยังพบว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ 3 อันดับแรกของโลกในปี 2567 คือ 1.เอเชียแปซิฟิก สัดส่วน 42% เนื่องจากมีการพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ชาวเอเชียมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และเครื่องฟอกอากาศ 2.อเมริกาเหนือ สัดส่วน 25% มาจากการสนับสนุนจากหลายปัจจัย อาทิ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปิดรับเทคโนโลยี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และอุปกรณ์สำหรับควบคุมอุณหภูมิ (Thermostat) และ 3.ยุโรป สัดส่วน 21% ได้รับอานิสงส์จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความปลอดภัย เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ หลอดไฟ ตู้เย็น และอุปกรณ์สำหรับควบคุมอุณหภูมิ
สำหรับการพัฒนานวัตกรรมและการสนับสนุนการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะของประเทศต่าง ๆ พบว่า ญี่ปุ่น ส่งเสริมให้มีการติดตั้งระบบ Home Energy Management System (HEMS) ซึ่งใช้ระบบ IoT ในการควบคุมและตรวจสอบการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่งผลให้สามารถวิเคราะห์และใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่บริษัท Sharp พัฒนานวัตกรรมเครื่องใช้ในครัวอัจฉริยะให้สามารถสั่งการด้วยเสียงควบคู่กับระบบผู้ช่วยเสมือน ซึ่งยกระดับการทำอาหารให้มีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น สหรัฐฯ มีโครงการ State Energy Program (SEP) สำหรับให้เงินทุนแก่รัฐต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับบริษัท iRobot คิดค้นเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะที่ใช้พลังงานน้อยและมีชิ้นส่วนที่รีไซเคิลได้ เยอรมนี ออกกฎหมาย German Buildings Energy Act ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานภายในอาคาร และสนับสนุนภาคครัวเรือนในการเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น ควบคู่กับบริษัท Bosch คิดค้นนวัตกรรมระบบจ่ายน้ำยาซักผ้าอัตโนมัติ ซึ่งช่วยประหยัดทั้งน้ำและน้ำยาซักผ้า
ส่วนไทย ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยกระทรวงพลังงานได้ออกแผนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan : EEP) ส่งเสริมให้ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน เช่น IoT Big Data และ AI ควบคู่กับการสนับสนุนการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 และกระทรวงอุตสาหกรรมยังได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ระยะที่ 1 (พ.ศ.2566-2570) มีเป้าหมายเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์และระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในอาเซียนภายในปี 2570
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ มีบทบาทในการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย โดยดำเนินนโยบายปรับโครงสร้างการส่งออกให้ทันสมัย มุ่งเน้นการส่งออกในกลุ่มธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี พร้อมทั้งผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อเปิดตลาดและขยายโอกาสให้สินค้าไทยสามารถเข้าถึงผู้บริโภคในต่างประเทศได้มากขึ้น และยังสนับสนุนข้อมูลทางการค้าและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันในระดับโลก
“จากแนวโน้มความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาของเทคโนโลยีระบบอัจฉริยะ และ AI ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก ส่งผลให้ไทยต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยภาครัฐและภาคเอกชนควรร่วมมือกันในการยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทย โดยอาจนำนโยบายของประเทศที่ประสบความสำเร็จมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของไทย พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงควรสนับสนุนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การวิจัยพัฒนา และการพัฒนาทักษะแรงงานในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ เพิ่มโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของไทย”นายพูนพงษ์กล่าว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง