​“พาณิชย์”ชี้การค้าโลกยังป่วน หลังศาลอุทธรณ์พลิกคำสั่ง ไฟเขียวสหรัฐฯ เก็บภาษีต่อ

img

โฆษกกระทรวงพาณิชย์ แจงขั้นตอนหลังศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ มีคำสั่งฉุกเฉินระงับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศชั่วคราว ส่งผลให้สหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าต่อไปได้ จนกว่าจะพิจารณาการอุทธรณ์เสร็จ คาดใช้เวลา 6-18 เดือน แนะผู้ประกอบการไทย เตรียมรับมือความไม่แน่นอนและผลกระทบอันใกล้นี้ ชี้แม้สุดท้าย ศาลจะยืนตามศาลการาค้าระหว่างประเทศ แต่สหรัฐฯ สามารถใช้มาตรการภาษีภายใต้กฎหมายอื่นได้อีกเพียบ
         
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ที่กลับมามีความไม่แน่นอนอีกครั้ง ภายหลังจากศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ (U.S. Court of Appeals for the Federal Circuit : CAFC) ได้อนุมัติคำขอฉุกเฉินของรัฐบาลสหรัฐฯ ให้คงมาตรการทางภาษีไว้ชั่วคราว ว่า ผลจากการที่ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้อนุมัติตามคำร้องฉุกเฉินดังกล่าว ทำให้คำสั่งของศาลการค้าระหว่างประเทศ (The Court of International Trade : CIT) จะถูกระงับเป็นการชั่วคราว และทำให้มาตรการทางภาษีของฝ่ายบริหารยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่าศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ จะพิจารณาการอุทธรณ์แล้วเสร็จ ทำให้การค้าโลกยังมีความผันผวนต่อไป
         
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 พ.ค.2568: ศาลการค้าระหว่างประเทศ ได้มีคำสั่งให้ระงับมาตรการทางภาษีที่บังคับใช้ภายใต้อำนาจของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) โดยศาลวินิจฉัยว่าฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยคำสั่งดังกล่าวครอบคลุมถึงมาตรการภาษีต่อจีน แคนาดา และเม็กซิโกในประเด็นสารเสพติดเฟนทานิล และมาตรการภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) กับคู่ค้าทั่วโลก และวันที่ 29 พ.ค.2568 กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาล CIT ต่อศาล CAFC พร้อมยื่นคำร้องฉุกเฉินเพื่อของดเว้นการปฏิบัติตามคำสั่งของศาล CIT ในระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ และได้อนุมัติตามคำร้องฉุกเฉินดังกล่าว พร้อมกำหนดให้ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ยื่นข้อโต้แย้งฉบับสมบูรณ์ภายในวันที่ 9 มิ.ย.2568



โดยในระหว่างนี้ หน่วยงานศุลกากรสหรัฐฯ (U.S. Customs and Border Protection : BCP) จะยังคงจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อไปได้จนกว่าจะมีคำตัดสินสิ้นสุด ซึ่งกระบวนการพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์ คาดว่า จะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 6-18 เดือน  

นายพูนพงษ์กล่าวว่า ในอนาคตหากศาล CAFC มีคำตัดสินยืนตามศาล CIT ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ยังคงมีเครื่องมือทางกฎหมายอื่น ๆ ในการดำเนินมาตรการทางภาษีได้ อาทิ มาตรา 301 (The Trade Act of 1974) ที่ให้อำนาจผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) สอบสวนและตอบโต้แนวปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้า มาตรา 232 (The Trade Expansion Act of 1962) ที่ให้อำนาจในการใช้มาตรการเพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศ และมาตรา 338 (The Tariff Act of 1930) ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีกำหนดภาษีศุลกากรสูงถึง 50% ต่อประเทศที่มีการเลือกปฏิบัติต่อสินค้าสหรัฐฯ แต่ต้องผ่านการตรวจสอบและได้รับรายงานจากคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USITC) ก่อน

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์จะติดตามความคืบหน้าการพิจารณาของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด แต่เนื่องจากกระบวนการทางศาลที่ใช้ระยะเวลานาน ผู้ประกอบการจึงควรเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง