​กรมพัฒน์เผยธุรกิจโรงเรียนนานาชาติรุ่ง ผู้ปกครองรายได้สูง นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียน

img

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทย มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เหตุผู้ปกครองที่มีรายได้สูง นักธุรกิจ เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาทำงานในไทย นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียน เพราะมีหลักสูตรทันสมัย และให้ความสำคัญกับอัตราครูผู้สอนกับเด็กนักเรียน เผยล่าสุดมีธุรกิจด้านการศึกษาในไทย 7,511 ราย ทุนจดทะเบียน 5.1 หมื่นล้าน อังกฤษเข้ามาลงทุนมากสุด ตามด้วยจีน สิงคโปร์  
         
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้ทำการวิเคราะห์ธุรกิจดาวเด่นประจำเดือน เม.ย.2568 จากคลังข้อมูลธุรกิจ DBD DataWarehouse+ พบว่า ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยมีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง และเป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง โดยกรมได้จัดทำบทวิเคราะห์เจาะลึกธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ เพื่อให้ทราบถึงความปังของธุรกิจดังกล่าว รวมถึงสาเหตุที่ทำให้โรงเรียนนานาชาติได้รับความนิยมจากผู้ปกครองที่มีรายได้สูง โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี และภูเก็ต ที่มีโรงเรียนนานาชาติตั้งอยู่รวมกันมากกว่า 80%

โดย 10 อันดับโรงเรียนนานาชาติที่มีค่าเทอมสูงสุดในปัจจุบัน อยู่ระหว่าง 905,300-1,109,400 บาทต่อปี โดยกลุ่มผู้ปกครองที่มีรายได้สูงนิยม นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ รวมทั้งนักธุรกิจและเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามาทำงานในไทยพร้อมครอบครัว ก็นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติในไทยเช่นกัน เนื่องจากโรงเรียนนานาชาติในไทยมีการขยายหลักสูตรเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ปกครองที่ต้องการการศึกษาคุณภาพสูงและมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล รวมทั้งให้ความสำคัญต่ออัตราส่วนระหว่างครูผู้สอนกับจำนวนนักเรียน โดยมีอัตราครู 1 คน ต่อนักเรียน 8 คน สะท้อนถึงคุณภาพการศึกษาที่สูงขึ้นและการให้ความสำคัญกับการดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้โรงเรียนนานาชาติในไทยมีมาตรฐานเทียบเท่าโรงเรียนนานาชาติในระดับสากล ผู้ปกครองชาวไทยและต่างชาติจึงนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติของไทย จากเดิมที่นิยมส่งบุตรหลานไปเรียนที่ต่างประเทศเป็นหลัก
         
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนเชิงจิตวิทยาที่ส่งผลให้โรงเรียนนานาชาติได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ปกครองที่มีรายได้สูง โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญ คือ สถานะทางสังคม แม้ว่าการเรียนในโรงเรียนนานาชาติจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าทางเลือกทั่วไป แต่ผู้ปกครองที่มีรายได้สูงก็เลือกที่จะลงทุนด้านการศึกษาให้แก่บุตรหลาน เนื่องจากได้รับการยอมรับในสังคมและการมีส่วนร่วมในเครือข่ายสากลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและความมั่งคั่ง และความชอบในสิ่งที่มีความพิเศษกว่า ยังเป็นอีกปัจจัยที่ผู้มีรายได้สูงมักมองหาประสบการณ์หรือสิ่งที่ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป เพราะโรงเรียนนานาชาติมีหลักสูตรเฉพาะ การเข้าถึงเครือข่ายระดับโลก และสภาพแวดล้อมที่จะช่วยสร้างโอกาสการพัฒนาทักษะระดับสากล จึงสามารถตอบโจทย์กลุ่มผู้ปกครองที่มีรายได้สูงเป็นอย่างดี
         


นางอรมนกล่าวว่า ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกร ระบุว่า โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย มีจำนวนถึง 257 แห่ง และเนื่องจากการแบ่งกลุ่มธุรกิจการศึกษาในประเทศไทย ไม่ได้มีการจัดกลุ่มสำหรับโรงเรียนนานาชาติเป็นการเฉพาะ กรมจึงได้มีการรวบรวมโรงเรียนนานาชาติที่ได้รับความนิยม จำนวน 20 ราย เพื่อวิเคราะห์มุมมองธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในเชิงลึกมากขึ้น พบว่า ในปี 2566 รายได้รวมเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 7,327 ล้านบาท เพิ่ม 28.04% เมื่อเทียบกับปี 2565 สะท้อนถึงความสามารถในการขยายฐานนักเรียนและอาจรวมถึงการเพิ่มค่าเล่าเรียนหรือการขยายหลักสูตรเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ปกครองที่ต้องการการศึกษาคุณภาพสูงสำหรับบุตรหลาน
         
สำหรับโอกาสในการขยายตลาดของโรงเรียนนานาชาติในไทย ไม่เพียงแต่การเพิ่มจำนวนสาขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตอบสนองความต้องการของผู้เรียนยุคใหม่ ตั้งแต่การเข้าสู่จังหวัดท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก การพัฒนาหลักสูตรพิเศษ เช่น STEM (การสอนแบบบูรณาการข้ามกลุ่มสาระวิชา (Interdisciplinary Integration) ของ 4 ศาสตร์สาขาได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science: S) เทคโนโลยี (Technology: T) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineer: E) และคณิตศาสตร์ (Mathematics: M) ) Coding ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนฝึกคิดอย่างเป็นระบบ ค้นเจอปัญหาและเงื่อนไข รู้เหตุและผล เข้าใจกระบวนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นทักษะสำคัญและจำเป็นสำหรับเด็กในยุคใหม่ และ AI ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดแรงงานในอนาคต พร้อมทั้งการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ เน้นการปฏิบัติจริงและการพัฒนาทักษะที่สำคัญสำหรับศตวรรษที่ 21  
         
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ เช่น อัตราการเกิดของประชากรที่อาจลดลงในระยะยาว ซึ่งอาจกระทบต่อจำนวนนักเรียนใหม่ในอนาคต และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เช่น ค่าแรงครู และการบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลต่ออัตรากำไรสุทธิในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาวะที่การแข่งขันจากโรงเรียนต่างชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มรุนแรงขึ้น แต่ยังคงมีโอกาสสร้างการเติบโตผ่านช่องทางการตลาดอื่น ๆ ได้ เช่น การตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) ซึ่งให้ความสำคัญกับคุณภาพการศึกษาที่เหนือกว่า และการพัฒนาหลักสูตรเฉพาะที่สอดคล้องกับทักษะที่จำเป็นในโลกอนาคต เช่น STEM, Coding และ AI รวมถึงการขยายสู่จังหวัดท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่มากและมีแนวโน้มที่จะสร้างรายได้ในระยะยาว
         
จากข้อมูลนิติบุคคลธุรกิจการศึกษาในประเทศไทย (ณ วันที่ 30 เม.ย.2568) พบว่า มีธุรกิจการศึกษาในประเทศไทย จำนวน 7,511 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 50,633.46 ล้านบาท แบ่งตามขนาดธุรกิจการศึกษา ขนาดเล็ก (S) 7,362 ราย สัดส่วน 98.02% ทุนจดทะเบียนรวม 33,159.56 ล้านบาท ขนาดกลาง (M) 122 ราย ทุน 11,239.55 ล้านบาท และขนาดใหญ่ 27 ราย สัดส่วน 0.36% ทุน 6,234.35 ล้านบาท ประกอบธุรกิจในรูปแบบ บริษัทจำกัด 6,717 ราย สัดส่วน 89.43% ทุน 48,171.92 ล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 790 ราย สัดส่วน 10.52% ทุน 1,116.64 ล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด 4 ราย สัดส่วน 0.05% ทุน 1,344.90 ล้านบาท
         


ทั้งนี้ หากวิเคราะห์ย้อนหลังไป 5 ปี (2563-2567) เห็นได้ชัดว่าการจัดตั้งธุรกิจและทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ปี 2563 จำนวน 502 ราย ทุน 1,012.18 ล้านบาท ปี 2564 จำนวน 512 ราย (เพิ่มขึ้น 12 ราย หรือเพิ่ม 1.99%) ทุน 719.10 ล้านบาท ปี 2565 จำนวน 616 ราย (เพิ่มขึ้น 12 ราย หรือเพิ่ม 1.99%) ทุน 1,496.04 ล้านบาท ปี 2566 จำนวน 889 ราย (เพิ่มขึ้น 273 ราย หรือเพิ่ม 44.32%) ทุน 1,733.03 ล้านบาท และ ปี 2567 จำนวน 979 ราย (เพิ่มขึ้น 90 ราย หรือเพิ่ม 10.12%) ทุน 1,875.37 ล้านบาท สำหรับเดือน ม.ค.-เม.ย.2568 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 319 ราย ทุน 610.34 ล้านบาท
         
ด้านผลประกอบการ 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) มีรายได้รวม ปี 2564 รายได้ 33,126.88 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 39,033.54 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5,906.66 ล้านบาท หรือเพิ่ม 17.83%) และปี 2566 รายได้ 46,290.96 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 7,257.42 ล้านบาท หรือเพิ่ม 18.59%) ผลประกอบการ (กำไร/ขาดทุน) ปี 2564 กำไร 1,491.08 ล้านบาท ปี 2565 กำไร 3,368.36 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,877.28 ล้านบาท หรือเพิ่ม 1.26%) และปี 2566 กำไร 5,785.58 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2,417.22 ล้านบาท หรือเพิ่ม 71.76% )

ส่วนการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย พบว่า มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 5,732.96 ล้านบาท โดยสัญชาติที่ลงทุนมากที่สุด คือ อังกฤษ 1,706.29 ล้านบาท สัดส่วน 30% จีน 636.07 ล้านบาท สัดส่วน 11% สิงคโปร์ 428.45 ล้านบาท สัดส่วน 7% และอื่นๆ 2,962.15 ล้านบาท สัดส่วน 52%

 

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง