กรมการค้าต่างประเทศ เผยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใน FTA ช่วง 11 เดือน ปี 67 มีมูลค่า 76,275.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.73% อาเซียนนำโด่งใช้สิทธิ์สูงสุด ตามด้วยอาเซียนจีน ไทย-ญี่ปุ่น ไทย-ออสเตรเลีย และอาเซียน-จีน ชวนใช้ FTA ไทย-ศรีลังกา ที่จะบังคับใช้ 1 มี.ค. ส่วน FTA เดิม อาเซียนยังโดดเด่น และกำลังปรับปรุงให้ทันสมัย รวมถึงอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ที่การอัปเกรด จะบังคับใช้ไตรมาสสอง
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA ในช่วง 11 เดือน ปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่าการใช้สิทธิ์ รวม 76,275.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.73% คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 83.62% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ เติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ค.2567 โดยเป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่า 28,772.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ์ 78.08% รองลงมา คือ ความตกลงอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 20,871.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนใช้สิทธิ์ 90.01% ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 6,335.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนใช้สิทธิ์ 84.03% ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 5,636.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนใช้สิทธิ์ 58.27% ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 4,987.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนใช้สิทธิ์ 64.28%
ทั้งนี้ คาดว่า ตัวเลขการใช้สิทธิ์ FTA ทั้งปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการส่งออกไปจีน ซึ่งมีการใช้สิทธิ์ภายใต้ FTA เป็นอันดับสองหดตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจจีนชะลอตัว โดยกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการใช้สิทธิ์ ลดลง อาทิ ทุเรียนสด ยางสังเคราะห์ สตาร์ชจากมันสำปะหลัง และโพลิเมอร์ของเอทิลีน
นางอารดากล่าวว่า สำหรับการใช้สิทธิ์ FTA ที่น่าจับตามองมากที่สุดในปี 2568 คือ FTA ไทย-ศรีลังกา ซึ่งเป็น FTA ฉบับล่าสุดของไทย ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มี.ค.2568 โดยศรีลังกาแม้จะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่มีจุดเด่นด้านที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของการขนส่งทางเรือของโลก เชื่อมต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป ดังนั้น จะมีส่วนช่วยในการขยายตลาดการส่งออกและผลักดันมูลค่าการส่งออกของไทยอย่างแน่นอน
ส่วน FTA 14 ฉบับของไทยที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน FTA ที่น่าจับตามองมากที่สุด คือ ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ซึ่งเป็น FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ์สูงที่สุดมาโดยตลอด โดยในช่วง 11 เดือน ปี 2567 มีมูลค่าการใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้น 4.53% และมีสินค้าที่น่าสนใจ เนื่องจากมีมูลค่าการใช้สิทธิ์โตต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือน ม.ค.2567 คือ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ โดยมีมูลค่าการใช้สิทธิ์ ม.ค.-พ.ย.2567 660.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 105.27% และการส่งออกไปยังทุกประเทศสมาชิกอาเซียน ส่งออกไปยังอินโดนีเซียมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ความตกลงฉบับนี้ อยู่ระหว่างการปรับปรุงให้ทันสมัย สอดคล้องกับรูปแบบการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้อำนวยความสะดวกทางการค้ามากยิ่งขึ้น คาดว่าหากสามารถเจรจาได้เสร็จตามเป้าในปี 2568 จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าการใช้สิทธิ์ที่มากอยู่แล้วให้เพิ่มขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ ความตกลงที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2567 อีกฉบับที่น่าสนใจ คือ อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ โดย 11 เดือน ปี 2567 มีมูลค่าการใช้สิทธิ์ 3,449.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 31.96% เป็นการใช้สิทธิ์ส่งออกไปยังออสเตรเลีย มูลค่า 3,285.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่มีการใช้สิทธิ์สูง 5 อันดับแรก เป็นสินค้ายานยนต์ทั้งสิ้น และส่งออกไปยังนิวซีแลนด์ มูลค่า 163.70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าที่มีการใช้สิทธิ์สูง อาทิ แผ่นอะลูมิเนียมเจือ กากเหลือจากการผลิตสตาร์ช เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณทำหรือชุบด้วยเงิน และอีกประเด็นที่น่าจับตามอง คือ ความตกลงฉบับอัปเกรด จะมีผลบังคับใช้ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2568 โดยได้ปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าและระเบียบวิธีปฏิบัติเพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับการค้าในปัจจุบัน เพิ่มรูปแบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาต (Self-certification) ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า และปรับปรุงเกณฑ์ถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า 253 รายการ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับกระบวนการผลิตจริงมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ กรมอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อเตรียมการรองรับการบังคับใช้ดังกล่าว
นางอารดากล่าวว่า ในปี 2568 คาดการณ์ว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเริ่มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แต่มีความเสี่ยงที่ต้องติดตามหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน หรือความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ FTA ที่มีอยู่ 14 ฉบับกับ 18 ประเทศคู่ค้า และล่าสุดฉบับที่ 15 กับศรีลังกา ที่รัฐบาลได้มุ่งมั่นเจรจาเพื่อขยายตลาดในการส่งออก จะเป็นทางรอดและตัวช่วยสำคัญของธุรกิจไทยในการกระจายความเสี่ยงในการส่งออก เพราะจะมีแต้มต่อด้านภาษีและลดผลกระทบที่อาจเกิดจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ โดยกรมจะเดินหน้าเตรียมจัดสัมมนาและทำเวิร์กชอปเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยทั่วประเทศรวม 10 จังหวัด ได้แก่ ระยอง สงขลา นครพนม พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ ลำพูน หนองคาย และชลบุรี เพื่อเสริมสร้างให้ผู้ประกอบการไทยมีทักษะและศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจเพื่อขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง