สนค.เผยทิศทางการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) มีแนวโน้มเติบโต หลายประเทศนำมาใช้สร้างความเป็นธรรมในการค้า ช่วยเกษตรกร ผู้ผลิต ได้รับผลตอบแทนเหมาะสม ผู้บริโภคได้สินค้าดี มีคุณภาพ ตอบโจทย์เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เปิด 5 สินค้าได้รับรอง Fair Trade ทั่วโลกสูงสุด กล้วย โกโก้ กาแฟ อ้อยน้ำตาล และผลไม้สด ส่วนไทยข้าวนำโด่ง ตามด้วยผลไม้ สมุนไพร แนะเกษตรกร ผู้ประกอบการหนุน Fair Trade ช่วยอัปราคา เพิ่มโอกาสขาย หนุนการพัฒนายั่งยืน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาและติดตามสถานการณ์มาตรการและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้า เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์ในการสร้างโอกาสและปรับตัวต่อการค้า พบว่า ในปัจจุบันมีหลายประเทศเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างระบบการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) ที่จะช่วยสร้างความโปร่งใสในกระบวนการการค้า ทำให้เกษตรกรและผู้ผลิตได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม รวมถึงผู้บริโภคได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ ตลอดจนตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนใน 3 มิติ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
สำหรับการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) เป็นแนวคิดที่นิยามโดย The International Fair Trade Charter หมายถึง ความร่วมมือทางการค้าที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเจรจา ความโปร่งใส และความเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการค้าระหว่างประเทศ เน้นการเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้แก่สินค้า การจัดสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่า และการส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การกำหนดราคาขั้นต่ำที่เป็นธรรม การจัดสรรเงินพิเศษเพื่อพัฒนาชุมชน การสร้างความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เป็นต้น
ทั้งนี้ ข้อมูลจากองค์กรแฟร์เทรดสากล (Fairtrade International) ระบุว่า ในปี 2022 ประเทศที่มีผู้ผลิตที่ได้รับการรับรองตราสัญลักษณ์ Fairtrade มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ โกตดิวัวร์ เปรู โคลอมเบีย อินเดีย และเคนยา และสินค้าที่ได้รับการรับรอง Fairtrade ที่มีปริมาณการค้าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กล้วย 730,176 ตัน โกโก้ 232,847 ตัน กาแฟ 231,188 ตัน อ้อยน้ำตาล 169,042 ตัน และผลไม้สด 102,698 ตัน
โดยมูลค่าการค้าที่เกษตรกรหรือผู้ผลิตได้รับเพิ่มจากราคาขายสินค้าปกติ (Fairtrade Premium) คิดเป็นจำนวนเงิน 222.8 ล้านยูโร หรือ 230.3 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นประมาณ 7,820.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% มีการเติบโตประมาณ 4.4% ต่อปี โดยมาจากพื้นที่ 1.ลาตินอเมริกันและแคริบเบียน 62.3% 2.แอฟริกา 31.1% และ 3.เอเชีย 6.6% สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (Fairtrade Premium) สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กาแฟ สัดส่วน 42.9% มูลค่า 95.6 ล้านยูโร โกโก้ 23.7% มูลค่า 52.8 ล้านยูโร กล้วย 17.1% มูลค่า 38.2 ล้านยูโร อ้อยน้ำตาล 4.6% มูลค่า 10.3 ล้านยูโร ดอกไม้และพืชพันธุ์ 3.4% มูลค่า 7.6 ล้านยูโร และอื่น ๆ 8.3% มูลค่า 18.3 ล้านยูโร และตลาดที่มีมูลค่าการค้าปลีกสินค้าที่ได้รับการรับรอง Fairtrade สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สหราชอาณาจักร เยอรมนี และสหรัฐฯ
สำหรับประเทศไทย ในปี 2022 มีสินค้าที่ได้รับการรับรอง Fairtrade จาก FLOCERT จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ข้าว สัดส่วน 95.3% ผลไม้สด 3.3% และสมุนไพร ชาสมุนไพร และเครื่องเทศ 1.4% โดยสามารถสร้าง Fairtrade Premium เพิ่มได้กว่า 220,707 ยูโร หรือ 228,168.4 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นประมาณ 7.7 ล้านบาท ปริมาณสินค้า 7,270.0 ตัน หรือ 7,270,000 กิโลกรัม แยกเป็นข้าว 61.7% และผลไม้สด 38.3% และปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการด้านการเกษตรที่ขึ้นทะเบียนจำนวน 35 ราย
ทั้งนี้ ตัวอย่างประเทศที่นำแนวคิด Fair Trade มาใช้แล้ว ได้แก่ สหรัฐฯ ออกข้อบังคับเรื่องความโปร่งใสในการทำสัญญาและการแข่งขันของผู้เลี้ยงสัตว์ปีก (Transparency in Poultry Grower Contracting and Tournaments) โดยกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลผู้เลี้ยงและผู้ค้าสัตว์ปีกมีชีวิต รวมถึงระบบการชำระเงินและการปรับปรุงทุน (Poultry Grower Payment Systems and Capital Improvement Systems) (อยู่ระหว่างปรับปรุงหลังจากรับฟังข้อคิดเห็นเมื่อเดือน ส.ค.2567)
สหราชอาณาจักร ประกาศแผนส่งเสริมความเป็นธรรมในห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร ภายใต้กฎหมาย Agriculture Act 2020 โดยกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนในสัญญาระหว่างผู้ผลิตและผู้ซื้อ เช่น การยกเลิก ระยะเวลาของสัญญา และการกำหนดราคาที่โปร่งใส รวมถึงได้ออกข้อบังคับ Fair Dealing Obligations (Milk) Regulations 2024 (FDOM24) ใช้ในสินค้านมแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการออกข้อบังคับสำหรับสุกร และไข่
สหภาพยุโรป เมื่อต้นเดือน ธ.ค.2567 ที่ผ่านมา ได้แก้ไขระเบียบองค์กรตลาดร่วมด้านสินค้าเกษตร (Common Market Organizations: CMOs) และร่างกฎระเบียบใหม่ว่าด้วยการบังคับใช้ข้ามพรมแดนเพื่อต่อต้านการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยให้มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรและจัดตั้งกลไกไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างเกษตรกรและผู้ซื้อ เพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความเป็นธรรมในการเจรจา
ฝรั่งเศส ออกกฎหมาย EGAlim3 จะมีผลบังคับใช้เดือน เม.ย.2568 เพื่อสร้างสมดุลในความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรผู้ผลิต (Suppliers) กับผู้จัดจำหน่าย (Distributors) ในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะการคุ้มครองเกษตรกรผู้ผลิตกับผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น กำหนดช่วงเวลาการเจรจาระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตกับผู้จัดจำหน่ายทุกปี (1 ธ.ค.-1 มี.ค.) หากไม่เป็นไปในช่วงเวลาดังกล่าว สามารถบอกเลิกสัญญาได้โดยถือว่าไม่ผิดสัญญา นอกจากนี้ กำหนดให้สถาบันการศึกษาและสุขภาพของรัฐ ต้องจัดซื้อผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนอย่างน้อย 50% รวมถึงสินค้า Fair Trade
นายพูนพงษ์กล่าวว่า การส่งเสริมการค้า Fair Trade เป็นโอกาสทางการค้าที่สอดรับกับเทรนด์การค้ายั่งยืน โดยข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค Voice of the Consumer Survey 2024 จาก PricewaterhouseCoopers รายงานว่า ปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคเลือกสินค้า ดังนี้ ผู้บริโภคยินดีจ่ายราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ย 9.7% สำหรับสินค้าที่ผลิตหรือจัดหามาอย่างยั่งยืน ผู้บริโภค 20% เลือกสินค้าจากผู้ประกอบการที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และ 17% เลือกสินค้าจากการมีส่วนร่วมของชุมชน และผู้บริโภคเต็มใจจ่ายสินค้าที่ผลิตจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงด้านจริยธรรม เช่น สิทธิมนุษยชน เป็นต้น สูงกว่าราคาเฉลี่ยของสินค้าปกติที่ประมาณ 1-5%
“ปัจจุบันการค้า Fair Trade ยังเป็นการค้าเฉพาะกลุ่ม แต่มีความสอดคล้องกับกระแสโลกเรื่องความยั่งยืน จึงคาดว่าในอนาคตการค้า Fair Trade จะเติบโตเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยที่จะขายสินค้าเกษตรได้ในราคาสูงขึ้น โดยการผลักดันให้เกิดแนวทางสนับสนุนการค้า Fair Trade และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าที่มาจากการค้าที่เป็นธรรม ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่นำไปสู่ความเท่าเทียมในสังคม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคเกษตรกรรม”นายพูนพงษ์กล่าว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง