“พิชัย”ถกภาคเอกชน เคาะเป้าส่งออกปี 68 โต 2-3% ยันเตรียมแผนรับมือทรัมป์ 2.0 แล้ว

img

“พิชัย”ประชุมร่วมภาคเอกชน เคาะเป้าส่งออกปี 68 เติบโต 2-3% หลังคาดปี 67 เพิ่ม 5% มูลค่า 10 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เผยมีปัจจัยหนุนเพียบ ทั้งไทยพร้อมด้านการค้า ลงทุน เศรษฐกิจฟื้น เร่งทำ FTA ดึงลงทุนอุตสาหกรรมสมัยใหม่และ PCB รีแบรนด์ Thai SELECT ดัน Thailand Brand ผลักดัน Soft Power ทูตพาณิชย์ พาณิชย์จังหวัดผนึกกำลังขายสินค้า ส่วนทรัมป์ 2.0 เตรียมบินพบสหรัฐฯ แก้เกมไทยถูกใช้มาตรการ ก.พ.68  
         
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมแถลงเป้าทำงานในการผลักดันการส่งออกปี 2568 ของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชน ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับภาคเอกชน และเห็นตรงกันว่า การส่งออกในปี 2568 จะยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จึงได้ตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าจะเติบโตที่ 2-3% โดยเพิ่ม 2% มูลค่า 305,315.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10.38 ล้านล้านบาท และเพิ่ม 3% มูลค่า 308,307.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10.482 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่คาดว่าจะส่งออกได้ประมาณ 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5% จากเป้าที่ตั้งไว้ 1-2% หรือเป็นเงินบาทประมาณ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ไทยมีการส่งออกมา
         
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนการส่งออกในปี 2568 ไทยมีความพร้อมในด้านการค้า การลงทุน เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวเป็นบวก และพร้อมที่จะทำ FTA กับทุกประเทศ ที่สำเร็จแล้ว คือ เอฟตา กำลังเจรจากับสหภาพยุโรป (อียู) เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศ หากสำเร็จจะเพิ่มโอกาสในการทำตลาด อีกทั้งไทยยังได้ตั้งเป้าหมายเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งขณะนี้มีการเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) หากโรงงานเดินเครื่องได้ ก็จะเพิ่มยอดส่งออกได้มาก
         
นอกจากนี้ ยังได้ปรับแผนรีแบรนด์ Thai SELECT จะปรับเป็นการให้ดาวเหมือนมิชลิน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าอาหารและวัตถุดิบอาหาร การสร้าง Thailand Brand การันตีสินค้าให้กับ SME ซึ่งจะทำให้ SME ส่งออกได้มากขึ้น การผลักดัน Soft Power ด้านอาหาร สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ และวัฒนธรรม การทำงานเชิงรุกระหว่างทูตพาณิชย์กับพาณิชย์จังหวัดเพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้กับสินค้าไทย และกระทรวงพาณิชยื จะปรับรูปแบบการทำงานเป็นยุค 80 ต่อ 20 ที่จะเน้นการส่งเสริมมากขึ้น แทนที่จะใช้กฎระเบียบ กฎหมาย
         


ส่วนแผนรับมือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น อาทิ กรณีนโยบายทรัมป์ 2.0 กระทรวงพาณิชย์ได้วางแผนทำงานเชิงรุกไว้แล้ว ทันทีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งในเดือน ม.ค.2568 เดือน ก.พ.2568 ก็จะจัดคณะผู้แทนไทยเดินทางไปสหรัฐฯ ทันที เพื่อไปหารือและเจรจาการค้า ไปอธิบายให้สหรัฐฯ เข้าใจว่า ที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นเพราะนักลงทุนสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนในไทยและส่งออกกลับไป การปรับขึ้นภาษี ก็จะกระทบต่อนักลงทุนสหรัฐฯ เอง และเชื่อว่า ไทยจะไม่โดนปรับขึ้นภาษี เมื่อเทียบกับคู่แข่ง อย่างจีน และเวียดนาม ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ
         
ขณะเดียวกัน จะหารือกับญี่ปุ่น เพื่อชักชวนนักลงทุนญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่ญี่ปุ่นมีแผนขยายการลงทุนอยู่แล้ว และจะผลักดันให้ญี่ปุ่น กลับมาเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งในไทยต่อไป
         
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่น่ากังวล คือ ค่าเงินบาท ที่ขณะนี้เริ่มกลับมาแข็งค่าอีกแล้ว และแข็งไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ค่าเงินอ่อนค่าหมด ยกเว้นไทย โดยอยากเห็นค่าเงินอยู่ที่ระดับ 36-37 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกได้มาก
         
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เป้าส่งออกปี 2568 ที่ตั้งไว้ที่ 2-3% มีโอกาสทำได้สูง แต่เป็นห่วงเรื่องเซอร์ไพร์สจากสหรัฐฯ ที่ยังอ่านไม่ออกว่าจะเป็นยังไง ถ้าโชคดี ไทยก็อาจไม่โดนอะไรมาก
         
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปี 2567 การส่งออกจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำได้ 3 แสนเหรียญสหรัฐ เงินบาท 10 ล้านล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างไร้รอยต่อ ส่วนปี 2568 ที่ตั้งเป้าไว้ 2-3% มีโอกาสทำได้สูง เพราะกระทรวงพาณิชย์มีแผนทำงานร่วมกับภาคเอกชนชัดเจน จับต้องได้ สำหรับปัจจัยเสี่ยงจากสหรัฐฯ เท่าที่ฟัง มีการทำแผนรับมือความเสี่ยงไว้แล้ว และยังจะไปพบกับสหรัฐฯ ทันทีที่รัฐบาลใหม่เริ่มทำงาน ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง