กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผย “ธุรกิจสัตว์เลี้ยงและที่เกี่ยวข้อง” มีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังคนยกระดับสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน เลี้ยงเสมือนคนในครอบครัว และเลี้ยงแบบเป็นทาส ที่พร้อมเปย์ ระบุผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลัง เพิ่มขึ้นทั้งรายได้ กำไร คาดยังแรงต่อเนื่อง
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้ทำการวิเคราะห์การเติบโตของธุรกิจ พบว่า ธุรกิจสัตว์เลี้ยงและที่เกี่ยวเนื่อง เป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ได้รับอิทธิพลจากการยกระดับสัตว์เลี้ยงให้เป็นเพื่อนที่มีความสำคัญในชีวิต เกิด Petfluencer สัตว์เลี้ยง ที่มีผู้ติดตามผ่านสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก มีการสร้างคอนเทนท์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้แก่เจ้าของอย่างเป็นกอบเป็นกำ และแนวโน้มและรูปแบบการเลี้ยงสัตว์ของคนยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเสมือนคนในครอบครัว (Pet Humanization) และการเลี้ยงสัตว์แบบ Petriarchy หรือเหล่าทาส ที่พร้อมจะเปย์เจ้านายแบบไม่จำกัด ทำให้เกิดการลงทุนในสุขภาพและความเป็นอยู่ของสัตว์เลี้ยงเหมือนคนจริง ๆ และการซื้อของเล่น ของใช้ อาหารแบบพรีเมียมเพื่อตามใจน้อง ๆ ที่เรารัก
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังเกิดเทรนด์ใหม่ คือ การนิยมเลี้ยงสัตว์แปลก หรือ Exotic Pet เช่น งู กิ้งก่า เต่า ชูการ์ไรเดอร์ เป็นต้น โดยยอดขายผลิตภัณฑ์ของสัตว์เลี้ยง Exotic Pet เติบโตสูงกว่า 50% ขณะที่ยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับแมวเติบโต 8% และยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสุนัขเติบโต 6% โดยจากการวิเคราะห์คนแต่ละ Gen ในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง พบว่า Gen Z นิยมเลี้ยงสุนัขมากที่สุด Gen Y ต้องการเสริมพลังบวกจากแมว Gen X นิยมเลี้ยงนกและปลา ขณะที่ Baby Boomer นิยมเลี้ยงสัตว์น้อยที่สุด
สำหรับการจัดตั้งธุรกิจสัตว์เลี้ยง (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย.2567) พบว่า ธุรกิจสัตว์เลี้ยงและที่เกี่ยวเนื่อง มีจำนวนทั้งสิ้น 5,009 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 98,797.54 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจฟาร์มสัตว์ 1,233 ราย ทุน 11,965.51 ล้านบาท ธุรกิจอาหาร ของเล่นสำหรับสัตว์ 2,138 ราย ทุน 80,443.67 ล้านบาท และธุรกิจบริการและดูแลสัตว์ 1,638 ราย ทุน 6,388.36 ล้านบาท โดยการลงทุนในธุรกิจสัตว์เลี้ยงและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนชาวไทย 93,464.62 ล้านบาท คิดเป็น 94.60% และนักลงทุนชาวต่างชาติ 5,332.92 ล้านบาท คิดเป็น 5.40% โดยนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร 1,646.90 ล้านบาท ออสเตรเลีย 870.87 ล้านบาท และ ญี่ปุ่น 728.11 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการภาพรวม 3 ปีย้อนหลัง เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ปี 2564 มีรายได้รวม 218,714.93 ล้านบาท กำไร 2,963.03 ล้านบาท ปี 2565 รายได้รวม 244,530.23 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 25,815.30 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.81%) กำไร 13,656.17 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10,693.14 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 360.89%) ปี 2566 รายได้รวม 258,702.91 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14,172.68 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 5.80%) กำไร 14,989.64 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,333.47 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 9.77%)
“ธุรกิจสัตว์เลี้ยงและที่เกี่ยวเนื่อง เป็นธุรกิจมาแรงที่เกิดจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการดำรงชีวิตที่นิยมเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นสมาชิกของครอบครัว รวมทั้งการดูแลที่ใส่ใจต่อสัตว์เหล่านั้นมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจมีรายได้รวมและผลกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนสนใจเข้าสู่ธุรกิจเพิ่มมากขึ้น เพราะมีโอกาสในการทำกำไรได้ในระยะยาว” นางอรมนกล่าว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง