“พาณิชย์” เตรียมถอด 5 ธุรกิจบริการ ทั้งการให้บริการทางบัญชี บริการทางกฎหมาย ให้เช่าพื้นที่สำนักงาน ให้กู้ยืมเงิน และให้คำปรึกษาแก่บริษัทในเครือในกลุ่ม ออกจากบัญชีแนบท้าย 3 ของพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจให้กับนักลงทุน เตรียมเสนอบอร์ดต่างด้าวพิจารณา หากเห็นชอบจะเสนอ ครม .อนุมัติต่อไป
         
นางกุลณี  อิศดิศัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อยู่ระหว่างการทบทวนธุรกิจบริการตามบัญชีแนบท้าย 3 ของพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 โดยได้ข้อสรุปเบื้องต้นที่จะถอด 5 ธุรกิจบริการออกจากบัญชีแนบท้าย 3 ตามการทบทวนประจำปี 2561 ได้แก่ ธุรกิจบริการทางบัญชีแก่บริษัทในเครือและในกลุ่ม ธุรกิจบริการทางกฎหมายแก่บริษัทในเครือและในกลุ่ม ธุรกิจบริการให้เช่าพื้นที่สำนักงานและสาธารณูปโภคแก่บริษัทในเครือและในกลุ่ม ธุรกิจบริการกู้ยืมเงินแก่บริษัทในเครือและในกลุ่ม และธุรกิจบริการให้คำปรึกษาแก่บริษัทในเครือและในกลุ่ม
         
สาเหตุที่ได้พิจารณาถอด 5 ธุรกิจบริการออกจากบัญชีแนบท้าย 3 เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจให้กับคนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในการให้บริการดังกล่าว เนื่องจากตามปกติ ธุรกิจบริการที่อยู่ในบัญชี 3 ต่างด้าวสามารถเข้ามาประกอบธุรกิจได้ โดยขออนุญาตจากคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งทั้ง 5 ธุรกิจบริการดังกล่าวจะได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจอยู่แล้ว เพราะเป็นบริการในเครือ หากถอดออกจากบัญชี 3 ก็ไม่ต้องมาขออนุญาต ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนประกอบธุรกิจได้รวดเร็วขึ้น และเป็นการอำนวยความสะดวกนักลงทุน
         
สำหรับขั้นตอนการดำเนินการ จะมีการนำข้อสรุป 5 ธุรกิจบริการที่จะถอดออกจากบัญชี 3 ของพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวที่จะมีการประชุมภายในเดือนก.ค.นี้ หลังจากนั้นจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และเสนอนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พิจารณา หากเห็นชอบจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติต่อไป คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ภายในเดือนก.ย.นี้
         
ก่อนหน้านี้ คณะอนุกรรมการพิจารณาทบทวนประเภทธุรกิจบัญชีแนบท้ายพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ได้ใช้หลักการพิจารณาว่าจะถอดธุรกิจบริการใดบ้างออกจากบัญชีแนบท้าย 3 โดยยึด 3 หลักเกณฑ์ คือ เป็นธุรกิจบริการที่มีกฎหมายเฉพาะดูแลอยู่ เป็นธุรกิจที่คนไทยมีความพร้อมในการแข่งขัน และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0