
สนค.ติดตามสถานการณ์การค้าไม้ตัดดอกของโลก พบมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว คาดมูลค่าตลาดจะสูงถึง 45,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 70 เผยเนเธอร์แลนด์ส่งออกมากสุด ตามด้วยโคลอมเบีย เอกวาดอร์ เคนยา เอธิโอเปีย ไทยอยู่อันดับ 12 ของโลก พบกล้วยไม้ไทยมาแรง ครองอันดับหนึ่งในหลายประเทศ แนะรัฐส่งเสริมนำนวัตกรรม เทคโนโลยีมาใช้ คุมคุณภาพการขนส่ง ส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงเกษตรสวนดอกไม้ ใช้ดอกไม้ไทยในงานเทศกาลและกิจกรรมระดับประเทศ
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การค้าสินค้าไม้ตัดดอกของโลก โดยพบข้อมูลจากบริษัทวิจัยการตลาด marketsandmarkets ระบุว่า ตลาดไม้ตัดดอกของโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยปี 2565 ตลาดไม้ตัดดอกของโลก มีมูลค่า 36,400 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าถึง 45,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2570 ซึ่งมีการนำมาใช้มากในธุรกิจบริการ ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ตลอดจนงานเทศกาล หรือในโอกาสสำคัญต่าง ๆ
สำหรับการส่งออกไม้ตัดดอกของโลก ในปี 2565 มีมูลค่า 10,520 ล้านเหรียญสหรัฐ ประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.เนเธอร์แลนด์ สัดส่วน 46.8% ของมูลค่าการส่งออกไม้ตัดดอกของโลก 2.โคลอมเบีย สัดส่วน 19.8% 3.เอกวาดอร์ สัดส่วน 9.4% 4.เคนยา สัดส่วน 6.3% และ 5.เอธิโอเปีย สัดส่วน 2.2% ขณะที่ไทยส่งออกเป็นอันดับที่ 12 ของโลก สัดส่วน 0.7% โดยประเทศที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.สหรัฐฯ สัดส่วน 26.1% ของมูลค่าการนำเข้าไม้ตัดดอกของโลก 2.เยอรมนี สัดส่วน 13% 3.เนเธอร์แลนด์ สัดส่วน 11.3% 4.สหราชอาณาจักร สัดส่วน 7.7% และ 5.ฝรั่งเศส สัดส่วน 3.9% โดยชนิดของไม้ตัดดอกที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ได้แก่ กุหลาบ เบญจมาศ คาร์เนชั่น ลิลลี่ และกล้วยไม้ ตามลำดับ
ส่วนการค้าไม้ตัดดอกของไทย ในปี 2567 ไทยส่งออกไม้ตัดดอก 21,135 ตัน มูลค่า 71.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,503 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 2.5% โดยกล้วยไม้ เป็นสินค้าไม้ตัดดอกที่ไทยส่งออกมากที่สุด ปริมาณ 19,129 ตัน มูลค่า 62.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,181 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1.4% ตลาดส่งออกกล้วยไม้ที่สำคัญของไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.สหรัฐฯ สัดส่วน 24.7% ของมูลค่าการส่งออกกล้วยไม้ของไทย 2.เวียดนาม สัดส่วน 22.8% 3.ญี่ปุ่น สัดส่วน 17.1% 4.จีน สัดส่วน 12.3% และ 5.อิตาลี สัดส่วน 4.8%
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตลาดส่งออกกล้วยไม้ของไทยข้างต้น พบว่า ในปี 2566 สหรัฐฯ นำเข้ากล้วยไม้จากไทยเป็นอันดับ 1 สัดส่วน 50% ของการนำเข้าจากโลก เวียดนาม นำเข้ากล้วยไม้จากไทยเป็นอันดับ 1 สัดส่วน 100% ของการนำเข้าจากโลก ญี่ปุ่น นำเข้ากล้วยไม้จากไทยเป็นอันดับ 2 สัดส่วน 26.7% ของการนำเข้าจากโลก (นำเข้าจากจีนไทเป มากเป็นอันดับ 1 มีสัดส่วน 56.4% ของการนำเข้าจากโลก) จีน นำเข้ากล้วยไม้จากไทยเป็นอันดับ 1 สัดส่วน 95.1% ของการนำเข้าจากโลก อิตาลี นำเข้ากล้วยไม้จากไทยเป็นอันดับ 2 สัดส่วน 47.2% ของการนำเข้าจากโลก (นำเข้าจากเนเธอร์แลนด์ มากเป็นอันดับ 1 สัดส่วน 52.6% ของการนำเข้าจากโลก)
ทั้งนี้ ในปี 2566 ไทยมีมูลค่าการส่งออกกล้วยไม้เป็นอันดับที่ 2 ของโลก มีสัดส่วน 33.4% ของมูลค่าการส่งออกกล้วยไม้ของโลก รองจากเนเธอร์แลนด์ ที่มีสัดส่วน 37.3%
ทางด้านการผลิตไม้ดอกที่สำคัญของไทย ในปี 2566 พบว่า กล้วยไม้ มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 196,226 ไร่ ปริมาณผลผลิต 44,080 ตัน ปลูกมากในจังหวัดนครปฐม สมุทรสาคร และราชบุรี บัวหลวง มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 17,360 ไร่ ปริมาณผลผลิต 22,776 ตัน ปลูกมากในจังหวัดนนทบุรี สุพรรณบุรี และอุบลราชธานี ดาวเรือง มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 3,722 ไร่ ปริมาณผลผลิต 2,844 ตัน ปลูกมากในจังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา และจันทบุรี และกุหลาบ มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 1,063 ไร่ ปริมาณผลผลิต 861 ตัน ปลูกมากในจังหวัดตาก เชียงใหม่ และเชียงราย
“หลังสถานการณ์โควิด-19 การส่งออกไม้ตัดดอกของไทยกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกล้วยไม้ที่สามารถครองตลาดทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะสามารถคว้าส่วนแบ่งตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการค้าไม้ตัดดอกและกล้วยไม้ของไทย จึงควรสนับสนุนผู้ประกอบการให้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาพันธุ์ใหม่ และการจัดการโลจิสติกส์ที่ควบคุมคุณภาพการขนส่งตลอดห่วงโซ่อุปทาน และควรผลักดันการสร้างชื่อเสียงและความต้องการใช้ดอกไม้ไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก ได้แก่ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรสวนดอกไม้สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตลอดจนการใช้ดอกไม้ไทยในเทศกาลหรือกิจกรรมสำคัญระดับประเทศและโลก เพื่อสร้างโอกาสการส่งออกไม้ตัดดอกของไทย สร้างรายได้ให้เกษตรกรและนำรายได้เข้าประเทศเพิ่มมากขึ้น”นายพูนพงษ์กล่าว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง