“พาณิชย์”ถกภาครัฐและผู้ใช้ ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย หาทางออกแก้ปัญหาเหล็กแพง เตรียมจัดเวทีเจรจาธุรกิจช่วยผู้ประกอบการก่อสร้างรายย่อย ซื้อขายโดยตรงกับผู้ผลิตและจำหน่าย ลดผ่านคนกลาง ส่วนรายใหญ่ที่รับงานภาครัฐ เล็งกำหนดค่า K ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ยันกำลังการผลิตยังมีเหลือเฟือ ปริมาณมีเพียงพอ พร้อมขอผู้ผลิตตรึงราคาจำหน่าย และขายในราคาที่สอดคล้องต้นทุน และจะติดตามการปิดป้ายราคา ป้องกันการฉวยโอกาสใกล้ชิด
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดูแลแก้ไขปัญหา เพื่อลดผลกระทบจากราคาเหล็กมีการปรับตัวสูงขึ้น ว่า กรมฯ และกรมการค้าต่างประเทศ ได้จัดให้มีการประชุมหารือร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการแล้ว โดยมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้กับผู้ประกอบการก่อสร้างรายย่อยแบบตรงจุดและไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กในประเทศระยะยาว ด้วยการจัดให้มีการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นตัวแทนผู้ใช้ กับกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนฝั่งผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็ก ซึ่งจะได้ประสานเชื่อมโยงการซื้อขายโดยตรง เพื่อลดการผ่านคนกลาง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนลดลง
ส่วนผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการกลุ่มก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือที่เสนองานกับหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ การกำหนดค่าตัวเลขดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างาน (ค่า K) ของงานโครงการภาครัฐที่อาจไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง จะพิจารณาทบทวนค่าตัวเลขค่า K ของงานโครงการภาครัฐ โดยจัดให้มีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยฯ ทั้งในด้านการสืบราคาจำหน่ายและการกำหนดค่า K ให้สะท้อนกับราคาในตลาดยิ่งขึ้น
สำหรับสถานการณ์การผลิตและจำหน่ายเหล็กในประเทศ พบว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมเหล็ก มีการผลิตเพียง 30-40% ของกำลังการผลิตที่สามารถผลิตได้ จึงมั่นใจว่าในด้านปริมาณประเทศไทยจะมีปริมาณเหล็กใช้ได้อย่างเพียงพอ แต่ได้ขอความร่วมมือผู้ผลิตเหล็กตรึงราคาจำหน่าย และต้องจำหน่ายในราคาที่สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง โดยกรมฯ จะติดตามสถานการณ์ต้นทุนการนำเข้าและราคาจำหน่ายปลีกอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้มอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดติดตามดูแลการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กของร้านค้าปลีกให้มีการปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายและเข้มงวดไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคา (กรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคาจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และกรณีจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควรจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) หากพบเห็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายผิดกฎหมายแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด
สถานการณ์เหล็กทั้งในประเทศและต่างประเทศปัจจุบัน พบว่า ราคาเหล็กในตลาดโลกมีการปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคานำเข้าเหล็กในตลาดเอเชียเดือนเม.ย.2564 เทียบกับเม.ย.2563 ราคานำเข้าเหล็กแท่งยาว (Billet) ที่เป็นวัตถุดิบ ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 75% และราคาประเภทอื่นมีการปรับสูงขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาสูงขึ้นมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่เหล็กแหล่งใหญ่ของโลก คือ บราซิลและออสเตรเลีย ไม่สามารถขุดสินแร่เหล็กได้ตามแผนที่ตั้งเป้าหมายไว้ ประกอบกับจีนมีนโยบายลดกำลังการผลิต โดยปิดโรงงานผลิตเหล็กที่มีกระบวนการผลิตที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งมีการยกเลิกมาตรการทางภาษีที่มีอยู่เดิมในการสนับสนุนการส่งออกสินค้าเหล็กบางรายการ เพื่อนำเหล็กที่ผลิตได้ไปใช้ขยายการก่อสร้างในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และภาวะเศรษฐกิจในสหภาพยุโรป จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เริ่มมีการฟื้นตัว ส่งผลให้ภาคการผลิตในอุตสาหกรรมต่อเนื่องมีความต้องการเพิ่มขึ้น
การหารือครั้งนี้ มีผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ได้แก่ กรมฯ และกรมการค้าต่างประเทศ ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย โดยมีสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นตัวแทนฝั่งผู้ใช้ และมีสมาคมผู้ผลิตเหล็ก จำนวน 7 ราย ได้แก่ สมาคมผู้ผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน สมาคมผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย สมาคมผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย สมาคมผู้ผลิตท่อโลหะและแปรรูปเหล็กแผ่น สมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า สมาคมผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี และสมาคมโลหะไทย รวมทั้งผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ 3 ราย ซึ่งเป็นฝั่งผู้ผลิตและจำหน่าย
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง