​กรมเจรจาฯ หนุน “ส้มโอ-มะม่วง” ใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอขยายตลาดส่งออก

img

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหนุน “ส้มโอ-มะม่วง” ใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอขยายตลาดต่างประเทศ หลังคู่เจรจาส่วนใหญ่ไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทยแล้ว เผยส้มโอต้องเน้นตลาดจีนและตะวันออกกลาง มะม่วง เน้นตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์
         
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23-24 มี.ค.2564 กรมฯ ได้ร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ นำคณะผู้แทนจากกรมการค้าภายใน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดพิจิตร พร้อมด้วยภาคเอกชน เช่น สถาบันส่งเสริมคุณภาพเกษตรไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย บริษัท เซ็นทรัลฟู้ดรีเทล จำกัด (ท๊อปส์ซุปเปอร์มาร์เก็ต) บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด และบริษัท เลิศโกลบอลกรุ๊ป จำกัด ลงพื้นที่พบปะสมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกรผู้ผลิตมะม่วง ส้มโอ และพริกซอส ในจังหวัดพิจิตร พร้อมเยี่ยมศูนย์ส่งออกส้มโอโพธิ์ประทับช้าง ศูนย์รวบรวมผลผลิตกลุ่มมะม่วงแปลงใหญ่ วังทับไทร อ.สากเหล็ก สวนมะม่วง อ.เขมชาติ ศูนย์รวบรวมพริกซอสของสหกรณ์ชาวนาวังทรายพูน และตลาดจริงใจ ฟาร์มเมอร์มาร์เก็ต และท็อปส์ซุปเปอร์มาร์เก็ต
         
ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ พบว่า ส้มโอโพธิ์ประทับช้าง มีตลาดทั้งในและต่างประเทศ แบ่งเป็นตลาดในประเทศสัดส่วน 65% ประมาณ 13,500 ตัน ส่งขายตลาดไทและตลาดมุมเมือง ที่เหลือ 35% 7,000 ตัน ส่งออกต่างประเทศ เช่น จีน และตะวันออกกลาง ราคาส่งออกเฉลี่ยกิโลกรัมละ 50–60 บาท ส่วนมะม่วงใน อ.สากเหล็ก เป็นแหล่งปลูกมะม่วงเพื่อการส่งออก มีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 200,000 ไร่ มีผลิตขั้นต่ำเฉลี่ยไร่ละ 1 ตัน ส่วนใหญ่ได้มาตรฐาน GAP แล้ว และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกสวน และปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ซึ่งได้รับความนิยมสูงในตลาดต่างประเทศ ตลาดส่งออกสำคัญ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์



สำหรับพริกซอส ของสหกรณ์ชาวนาวังทรายพูน จำกัด ที่รวบรวมส่งให้โรงงานผลิตซอสพริก มีพื้นที่ปลูกกว่า 212 ไร่ ตลาดมีความต้องการสูงและให้ราคาดี มีการทำข้อตกลงซื้อขายล่วงหน้า รับซื้อในราคาประกัน พันธุ์ศรีสุดา รับซื้อ 14 บาท/กิโลกรัม ส่วนพันธุ์ซุปเปอร์ฮอท รับซื้อ 33 บาท/กิโลกรัม ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มจากการจำหน่ายพริก 56,000 บาท/ปี หรือ 140,000 บาทต่อฤดูกาลผลิต ซึ่งช่วยให้สมาชิกสหกรณ์มีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น
         
“ได้แนะนำและช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้กับเกษตรกร ทั้งผ่านทางห้างโมเดิร์นเทรดของไทย เช่น ท็อปส์ซุปเปอร์มาร์เก็ต แมคโคร และบิ๊กซี และผ่านการทำตลาดส่งออกไปยังประเทศที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย เช่น จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันไม่เก็บภาษีศุลกากรกับมะม่วงและส้มโอที่ส่งออกจากไทยแล้ว”นางอรมนกล่าว
         
ปัจจุบันไทยครองตำแหน่งผู้ส่งออกมะม่วงอันดับที่ 2 ในอาเซียน รองจากเวียดนาม และอันดับที่ 7 ของโลก โดยในปี 2563 ไทยส่งออกมะม่วงสดสู่ตลาดโลก มูลค่ารวม 62 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5% ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ อาเซียน เกาหลีใต้ และจีน ปัจจุบันประเทศคู่เอฟทีเอของไทย 15 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 7 ประเทศ (อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไนฯ เวียดนาม เมียนมา และมาเลเซีย) จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ชิลี และเปรู ไม่เก็บภาษีนำเข้ามะม่วงสดและมะม่วงอบแห้งจากไทยแล้ว เหลือเพียง 3 ประเทศ คือ สปป.ลาว และกัมพูชา เก็บภาษีนำเข้า 5% และเกาหลีใต้ เก็บภาษีนำเข้า 24%
         
ส่วนส้มโอ ในปี 2563 ไทยส่งออกส้มโอสู่ตลาดโลก มูลค่ารวม 21.35 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29% ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ จีน  อาเซียน (สปป.ลาว และเมียนมา เป็นตลาดส่งออกหลัก) และฮ่องกง ปัจจุบันประเทศคู่เอฟทีเอของไทย 17 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 9 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และเปรู ไม่เก็บภาษีนำเข้าส้มโอจากไทยแล้ว เหลือเพียง อินเดีย ที่คงเก็บภาษีนำเข้า 25%




ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง