​“วุฒิไกร”ปรับโฉมกรมทรัพย์สินทางปัญญาสู่ Smart DIP เปิดตัว 3 โปรเจ็กต์ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล

img

“วุฒิไกร” กางแผนทำงานปี 64 ตั้งเป้าปรับโฉมกรมทรัพย์สินทางปัญญาสู่ Smart DIP นำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล เตรียมเปิดตัว 3 โครงการสำคัญ ออกหนังสือสำคัญทางอิเล็กทรอนิกส์ ดีเดย์สิทธิบัตร ม.ค.64 เครื่องหมายการค้ามี.ค.64 เปิดบริการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ ช่วยลดคดีสู่ศาล และให้บริการวิเคราะห์เทรนด์เทคโนโลยีและใช้ประโยชน์จาก Big Data ฐานข้อมูลสิทธิบัตร
         
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยถึงแผนการทำงานในปี 2564 ว่า กรมฯ จะให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อตอบโจทย์การให้บริการในยุคดิจิทัล โดยวางแผนขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็น “Smart DIP” ตั้งเป้าปรับโฉมงานบริการประชาชนให้อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเบ็ดเสร็จครบวงจร เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการของกรมฯ ในรูปแบบที่ง่ายขึ้นเพียงปลายนิ้วสัมผัส โดยเตรียมเปิดตัว 3 โครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการการออกหนังสือสำคัญอิเล็กทรอนิกส์ (e-Certificate) โครงการการบริการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททรัพย์สินทางปัญญาออนไลน์ (Online Dispute Resolution : ODR) และโครงการวิเคราะห์เทรนด์เทคโนโลยีและใช้ประโยชน์จาก Big Data ฐานข้อมูลสิทธิบัตร ซึ่งพร้อมที่จะให้บริการประชาชนในช่วงต้นปี 2564
         
สำหรับโครงการแรก e-Certificate เป็นการนำเทคโนโลยีมาตอบโจทย์ประชาชนในการออกหนังสือสำคัญแสดงการรับจดทะเบียนรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ จากเดิมที่ต้องรอหนังสือสำคัญในรูปแบบกระดาษ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 45-60 วัน หากนำระบบ e-Certificate มาใช้ ประชาชนจะได้รับ e-Certificate ภายใน 15 วัน นับจากวันรับจดทะเบียน ส่งผลให้ประชาชนเจ้าของสิทธิสามารถนำทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับจดทะเบียนไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และทำธุรกิจได้เร็วขึ้น โดยในระยะแรกจะให้บริการ e-Certificate กับการรับจดสิทธิบัตรในช่วงเดือนม.ค.2564 และเครื่องหมายการค้าในช่วงเดือนมี.ค.2564
         


ส่วนโครงการการบริการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ ซึ่งเดิมหากเกิดข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญา และต้องการให้กรมฯ ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท คู่กรณีจะต้องเดินทางมาที่กรมฯ เพื่อเจรจาหาข้อยุติ เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย หากนำระบบ ODR มาใช้ โดยส่งคำร้องขอไกล่เกลี่ยไปทางอีเมลของคู่กรณี เพื่อนัดหมายผ่านระบบออนไลน์ และเจรจาไกล่เกลี่ยผ่านระบบ Video Call โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งระบบดังกล่าวช่วยลดการเผชิญหน้าของคู่กรณี และเกิดการประนีประนอมระหว่างคู่พิพาท ส่งผลให้ลดจำนวนคดีสู่ศาล ทำให้ประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลา โดยคาดจะเปิดให้บริการได้ภายในต้นปี 2564
         
ขณะที่โครงการวิเคราะห์เทรนด์เทคโนโลยีและใช้ประโยชน์จาก Big Data ฐานข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลก ในระยะแรกจะวิเคราะห์แนวโน้มการยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรในไทยช่วง 5 ปีย้อนหลัง (ปี 2558–2562) เพื่อให้ผู้ประกอบการ นักธุรกิจไทย นักวิจัย และประชาชนได้ทราบถึงเทรนด์ของเทคโนโลยีโลกในอนาคต สะท้อนการเติบโตของเทคโนโลยีในแต่ละอุตสาหกรรม สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจในการพัฒนาต่อยอดงานวิจัยให้ตรงกับแนวโน้มของตลาด ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยจะเผยแพร่ข้อมูลเทรนด์เทคโนโลยีจากฐานข้อมูลดังกล่าวในช่วงต้นปี 2564

นอกจากนี้ ในระยะต่อไป กรมฯ จะจัดทำระบบแสดงสถานะอายุการคุ้มครองสิทธิบัตร เพื่อให้นักธุรกิจ ผู้ประกอบการไทย นักประดิษฐ์คิดค้น และนักวิจัย ใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลสิทธิบัตรที่หมดอายุหรือกำลังจะหมดอายุการคุ้มครองในการพัฒนาต่อยอดสร้างนวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างเม็ดเงินให้กับธุรกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เช่น อุตสาหกรรมอาหารและยา เภสัชภัณฑ์ ปิโตรเคมี และบรรจุภัณฑ์ชีวภาพ เป็นต้น ซึ่งจากการตรวจสอบในฐานข้อมูลเบื้องต้น พบว่ามีสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรที่หมดอายุหรือกำลังจะหมดอายุกว่า 13,000 รายการที่อาจนำไปพัฒนาต่อยอดได้

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง