​ยานยนต์และชิ้นส่วนโล่งอก ไทยไม่อยู่ในลิสต์ถูกสหรัฐฯ ขอคุย แต่ไม่ประมาท เล็งถาม USTR ให้ชัดเจนก.ค.นี้

img

อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนโล่งอก “ทรัมป์”ลงนามคำสั่งให้ USTR เปิดเจรจาทำความตกลงกับอียู ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ประเมินเบื้องต้นไทยไม่น่าจะอยู่ในลิสต์ เหตุมีส่วนแบ่งตลาดน้อย เตรียมใช้โอกาสพบ USTR ช่วงก.ค.นี้ ติดตามความคืบหน้า และชี้แจงสถานการณ์การส่งออกของไทย
         
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ประชุมร่วมกับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เพื่อติดตามสถานการณ์ที่จะมีผลต่ออุตสาหกรรม และกำหนดท่าทีในการดำเนินการของไทย หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ดำเนินการเจรจาทำความตกลงกับประเทศที่ส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนมายังตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ และป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยให้รายงานผลภายใน 180 วัน
         
“ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีให้ USTR ไปเจรจาจัดทำความตกลงกับอียู และญี่ปุ่น รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่เห็นว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ในเรื่องยานยนต์และชิ้นส่วน โดยเบื้องต้น นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนของไทย เพราะไม่มีรายชื่ออยู่ในประเทศที่สหรัฐฯ ระบุไว้ในเป้าหมาย และคาดว่าไม่น่าจะอยู่ในเป้าหมาย แม้ตรงประเทศอื่นๆ สหรัฐฯ สามารถที่จะพูดคุยกับใครก็ได้ แต่ไทยไม่น่าจะอยู่ในนั้น เพราะไม่ได้มีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ มาก”นางอรมนกล่าว
สำหรับรายการสินค้าที่สหรัฐฯ ระบุว่ามีการนำเข้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุกขนาดเล็ก  ชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทเครื่องเครื่องยนต์และชิ้นส่วนระบบส่งกำลังและชิ้นส่วนไฟฟ้า เป็นต้น
         
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ของสินค้าไทย พบว่า ในปี 2561 ไทยส่งออกยานยนต์ไปสหรัฐฯ มูลค่า 230.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับที่สหรัฐฯ นำเข้าจากทั่วโลก มีมูลค่า 2.08 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.1% และชิ้นส่วนยานยนต์ ส่งออกมูลค่า 1,296.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับที่สหรัฐฯ นำเข้าจากทั่วโลกมูลค่า 138,991.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.9% ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการนำเข้ารวมของสหรัฐฯ
         
นางอรมนกล่าวว่า เท่าที่ได้หารือกับภาคเอกชน ส่วนใหญ่ไม่มีความกังวล แต่ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป เพราะขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงที่สหรัฐฯ จะเจรจากับประเทศที่เป็นเป้าหมาย โดยในส่วนของไทย กรมฯ มองว่า ไทยกับสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และการส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐฯ ก็มีสัดส่วนไม่มาก จึงไม่น่าจะกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ไทยจะใช้โอกาสที่จะพบปะกับ USTR ช่วงการประชุมความตกลงการค้าและการลงทุนไทย-สหรัฐฯ (TIFA) ในเดือนก.ค.2562 เพื่อสอบถามความคืบหน้าการดำเนินการของสหรัฐฯ และจะชี้แจงให้สหรัฐฯ เห็นถึงสถิติการส่งออกของไทย รวมถึงจะหารือถึงความร่วมมือทางการค้า การลงทุน ปัญหาอุปสรรคทางการค้าที่มีอยู่ และยังจะมีโอกาสเจอกับสหรัฐฯ อีกครั้งในช่วงเดือนก.ย.2562 ช่วงการประชุมรัฐมนตรีการค้าอาเซียน ไทยก็จะใช้โอกาสนั้น ติดตามความคืบหน้าในประเด็นนี้ด้วย

การออกคำสั่งประธานาธิบดีดังกล่าว เป็นไปตามที่สหรัฐฯ ได้ประกาศไต่สวนสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act 1962 ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.2561 โดยให้เหตุผลว่ากระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ และจะพิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าเป็น 25% จากนั้น USTR ได้ทำการไต่สวนและเสนอผลสรุปให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเดือนก.พ.2562 และประธานาธิบดีมีเวลา 90 วันที่จะตัดสินใจ จนถึงวันที่ 17 พ.ค.2562 ได้ลงนามในคำสั่งให้เปิดการเจรจากับอียู ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ที่ USTR เห็นว่ามีผลกระทบต่อสหรัฐฯ และให้รายงานผลภายใน 180 วัน

***ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่ http://line.me/ti/p/%40uld0329i
***ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์ https://twitter.com/CNAOnlineTwit    
 
 

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง